จับตา เลือกตั้ง อบจ. “ธนาธร” กับกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง”
“ธนาธร” หวังใช้กลยุทธ์การตลาด “ป่าล้อมเมือง” กับการเลือกตั้งท้องถิ่น จากการเลือกตั้งปี 62 ทำให้เขามั่นใจพอสมควรในแนวทางนี้
สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกฯ อบจ.) ครั้งแรกในรอบ 6 ปี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีความคึกคักกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา
เหตุผลเพราะ 1.เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังประเทศไทยผ่านพ้นรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งอยู่ในอำนาจยาวนานถึง 4 ปี
2.เพราะความตื่นตัวทางการเมืองของคนไทยในวันนี้ ต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยคนไทยให้วันนี้มีความตื่นตัวทางการเมืองมากกกว่าในอดีตหลายเท่าตัว
อีกประเด็นที่ทำให้การเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ มีความคึกคัก คือการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ และการลงมาเล่นการเมืองของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
จนเมื่อมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ และนายธนาธร มิตรสหายทั้งนายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช ออกมาตั้งคณะก้าวหน้า ประกาศลุยการเลือกตั้ง อบจ.อย่างจริงจัง
สำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่น “นายธนาธร” ประกาศตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่แล้วว่า จะเอาจริงในสนามการเลือกตั้งแห่งนี้ ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้การเลือกตั้งระดับประเทศเลยทีเดียว
“ธนาธร” หวังใช้กลยุทธ์การตลาด “ป่าล้อมเมือง” กับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเห็นว่า ถ้าผู้สมัครในนามของคณะก้าวหน้า ได้รับเลือกตั้งในหลายจังหวัด นั่นก็เท่ากับว่า แนวทาง “ป่าล้อมเมือง” เริ่มใช้ได้ผลแล้ว
จากผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เริ่มแรกถึง 80 คน ทำให้นายธนาธร มีความมั่นใจว่า จะได้รับเสียงตอบรับเช่นเดียวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะ อบจ.
โดยการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครใน 42 จังหวัด ภาคเหนือ 7 จังหวัด ภาคกลาง 12 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 13 จังหวัด ภาคใต้ 5 จังหวัด ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ภาคตะวันตก 1 จังหวัด
นโยบายหาเสียงของคณะก้าวหน้านั้น ชูประเด็น “คนไทยเท่าเทียมกัน ประเทศไทยเท่าทันโลก” แปรนโยบายระดับชาติของพรรคอนาคตใหม่เดิม ให้เป็นนโยบายที่จับต้องได้ในระดับท้องถิ่น ถือเป็นจุดเด่นสำคัญที่สุดในการลงสมัครครั้งนี้
นายธนาธร ประกาศแคมเปญ หน้าเสียง เดินหน้า “ 3 จริง” นั่นคือการไปใน ‘พื้นที่จริง’ พบกับ ‘ประชาชนจริง’ และอยู่ใน ‘สถานการณ์จริง’ พร้อมกับชู 5 อุดมการณ์หาเสียงประกอบด้วย
1. ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย และพร้อมร่วมผลักดันการสร้างประชาธิปไตย
2. ไม่ซื้อเสียง เอาชนะด้วยนโยบายและการทำงานอย่างจริงจัง
3. ไม่มีประวัติการค้ามนุษย์หรือค้ายาเสพติด
4. ไม่ทุจริต ไม่เข้ามามีอำนาจเพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง
5. พร้อมร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูปรัฐราชการ ยุติการรวมศูนย์อำนาจและทรัพยากรไว้ที่ส่วนกลาง
สำหรับการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ นายธนาธร และคณะก้าวหน้าได้เปรียบคู่แข่งตรงที่สามารถลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงด้วยตัวเอง ขณะที่พรรคอื่นๆ อาจทำไม่ได้เนื่องจากความหวาดหวั่นว่าจะขัดกับกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
นอกจากนี้คณะก้าวหน้า ยังเตรียมตัวสู้ศึกเลือกตั้ง อบจ.ก่อนใคร โดยมีการเตรียมผู้สมัครด้วยการเฟ้นหา รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ก่อนที่ กกต.จะกำหนดวันเลือกตั้งเสียอีก
นั่นจึงทำให้ผู้สมัครของคณะก้าวหน้า เป็นที่จับตามองว่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญกับเจ้าของพื้นที่เดิม
จึงไม่แปลกที่เวลานายธนาธร ลงไปช่วยหาเสียงในพื้นที่ภาคใต้ จะมีมวลชนคนเสื้อเหลืองยกโขยงกันมาไล่ ชูป้ายกล่าวหาล้มล้างสถานบันฯ
นั่นเพราะในพื้นที่ภาคใต้ ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่นายธนาธร หวังใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” กับการเลือกตั้ง อบจ. โดยส่งผู้สมัครลงถึง 5 จังหวัด
แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า ภาคใต้เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 ผู้แทนภาคใต้กลับถูกเฉลี่ยให้กับพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย
นั่นก็หมายความว่า ในการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ ใช่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะ “ส่งเสาไฟฟ้า” ลงก็ชนะเลือกตั้งเหมือนเคย และคณะก้าวหน้าก็หวังปักหมุดในพื้นที่นี้เช่นเดียวกัน
ในการช่วยหาเสียงยังพื้นที่ต่างๆของนายธนาธรนั้น ได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มฐานเสียงของพรรคอนาคตใหม่เดิม นั่นก็คือกลุ่มวัยรุ่น เยาวชน คนหนุ่มสาว แต่ละเวทีมีการมอบดอกไม้ ถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างคึกคัก
เพราะว่ากลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” นี้ มีเป้าหมายที่วัยรุ่น เยาวชน คนหนุ่มสาว และคนที่มีความคิดสมัยใหม่เป็นสำคัญ ซึ่งในการเลือกครั้ง อบจ.ครั้งนี้เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้น
ทว่ากลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” จะเริ่มออกดอกออกผลอย่างเห็นได้ชัดในการเลือกตั้งครั้งใหญ่อีก 2 ปีข้างหน้า
เพราะตอนนั้นคนอายุ 16 ปีในตอนนี้ จะมีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นครั้งแรก
เมื่อนั้น กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” ของนายธนาธร จะได้พิสูจน์ตัวเอง
เหมือนกับที่นายธนาธร ย้ำเสมอว่า การทำงานการเมืองครั้งนี้ หวังผลระยะยาว หาใช่การวางเป้าที่ระยะสั้นๆแต่อย่างใด