ดับฝัน “รถอีวีไทย” !!
น่าจะเป็นฝันสลาย หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น บีโอไอ กรมสรรพาสามิต กระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า ยังมีแนวความคิดที่ ยังย่ำอยู่กับที่
ย่ำอยู่กับการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบเดิมๆ โดยไม่ยอมเงยหน้ามองดูความเปลี่ยนแปลง ที่กำลังเปลี่ยนไป…
เพราะ…นโยบายที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ ยังขาดความชัดเจนอยู่หลายประการ ทั้งยังไม่มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย
ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาของความไม่พร้อม เรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย สถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ยังมีน้อยที่ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่แต่ใน กทม. อัตราค่าบริการไฟฟ้าที่ยังไม่มีการกำหนัดราคาที่ชัดเจน

สาเหตุเหล่านี้ จึงเป็นปัจจัยให้ผู้ประกอบการเกิดความ ละล้าละลัง ไม่กล้าด่วนทุ่มทุน ทุ่มใจปักฐานการผลิตรถไฟฟ้า (EV)ในไทยได้อย่างเต็มร้อย
ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่ อย่าง โตโยต้า ก็เช่นกัน แม้จะยืนยัน ปักธงให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาค แต่เรายังคงต้องร้องเพลงรอกันไปก่อน เพราะแผนจะผลิตจริงคืออีก 3 ปีข้างหน้า หรือ ประมาณปี 2566 จึงขอเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฮบริดไปพลางๆก่อน
เช่นเดียวกับค่ายรถยนต์น้องใหม่อย่าง MG ที่แม้จะมีการยื่นของส่งเสริมการลงทุนจาก BOI แล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเริ่มสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เมื่อไหร่ เพราะต้องดูความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า และอื่นๆ ที่จำเป็นด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้า หลายแบรนด์ ที่วิ่งในท้องถนน ล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า นำเข้าแทบทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละรุ่น ก็แพง หูฉี่ ยากที่จะจับต้อง เนื่องจากแบตเตอรี่มีราคาสูง จึงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ายังแพงอยู่
จะพอมีให้ลุ้นบ้างก็ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส หรือ GWM ที่ประกาศตัวชัดเจน ให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกไปภูมิภาคอาเซียน โดยเข้าไปซื้อโรงงานผลิตรถยนต์เชฟโรเลต จาก บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ที่จังหวัดระยอง
ที่สำคัญ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ยังได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่า พร้อมที่จะผลิตและจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรก SUV และรถกระบะ ออกมาวางจำหน่ายในต้นปี 2564
เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะใช้รถปิกอัพเป็นหัวหอกบุกตลาดในประเทศไทย เนื่องจากเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมตลอดกาลอีกด้วย

แต่ทั้งหมดนี้การจะผลัดดันให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จะต้องทำให้ยอดผลิตและใช้ในประเทศมีไม่ต่ำ 100,000 คัน หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะพอมองออกว่า อนาคตรถยนต์ไฟฟ้า จะสดใสหรือไม่
และกว่าจะไปถึงจุดๆนั้น รัฐบาลต้องสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง เหมือนอย่างที่ ไต้หวัน ประสบความสำเร็จจากการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยมีแบตเตอรี่ฟรี ให้เปลี่ยน ณ สถานีชาร์ต ตลอด24 ช.ม. ทำให้แบตเตอรี่ที่เป็นของมีค่าและราคาแพง กลายเป็นแบตเตอรี่ราคาถูก
เช่นนี้… จึงจะส่งผลให้ เกิดความนิยมใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแทนน้ำมัน อย่างกว้างขวางในไต้หวัน
หันมาที่บ้านเรา ความพยายามที่จะผลักดันให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ยังเป็นเพียงการมองแต่เรื่องของการเพิ่มปริมาณ ไม่ได้มองเรื่องของความต้องการ ไม่ต่างอะไรกับการตั้งโจทย์ ระหว่างไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน

โดยเฉพาะการปฏิเสธ การใช้สถานีร่วมกัน รวมถึงการพัฒนาแบตเตอรี่ชาร์ตให้ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งแน่นอนว่า…หากมีความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากในประเทศไทย ก็น่าถือเป็นโอกาสทองของผู้ผลิตไฟฟ้าในประเทศ
และเป็นที่แน่นอนว่า ประเทศไทยหลังจากผ่านฝนเม็ดสุดท้าย ปัญหาเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 ก็จะกลับมาอย่างแน่นอน รัฐบาลจึงน่าจะใช้โอกาสนี้ ทุ่มงบประมาณ ทุ่มภาษี เพื่อจูงใจในคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนน้ำมันเพิ่มมากขึ้น
เพราะอย่างน้อย หากสามารถลดปัญหา เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 ได้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ ปอดของคนไทยก็จะสะอาดขึ้นอย่างแน่นอน…