“ปะผุ” หยุด “เกาเหลา” เฟส2
กลายเป็นปมร้อนวุ่นๆ กันในทีม “ครม.ประยุทธ์2” เมื่อเกิดอาการขบเหลี่ยมปีนเกลียวกันเองภายในทีมเศรษฐกิจ ที่เริ่มจะไม่กินเส้นกัน
“ คล้ายกับหนังม้วนเดิม ” นำมาฉายใหม่ แต่หนังม้วนนี้อาจจะไม่ม่วนคักเท่าม้วนเดิม ถึงแม้ว่า “บิ๊กตู่” จะปรับ ครม.ครั้งใหญ่ครบ 1 ปีเต็ม ที่โละทีมเศรษฐกิจที่มีแม่ทัพ คือ “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นอดีตรองนายกฯ และตั้งแม่ทัพเศรษฐกิจคนใหม่เป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขึ้นมาจากที่ปรึกษาคสช.ด้านเศรษฐกิจ มานั่งเก้าอี้ “รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ”
ที่ได้รับอำนาจให้คุมกระทรวงหลักทางด้านเศรษฐกิจ 7 กระทรวง คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรียกว่ากำกับดูแลกระทรวงมากกว่ารองนายกรัฐมนตรีอีก 5 คน
แต่รอบ 1 เดือนที่ผ่านมา มีเสียงเล็ดลอดออกมาจาก “ รั้วกระทรวงเกษตร ” (อีกแล้วครับท่าน)
ว่า “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อนซี้ของ “บิ๊กตู่” เริ่มทำงานไม่เข้าขากับ “รองนายกสมคิด” ที่มีอำนาจกำกับดูแลกระทรวงเกษตรฯ
กลายเป็นปมปัญหาที่ทำให้ได้กลิ่นของความเป็น “ เกาเหลา ” ระหว่างรองนายกฯ ที่เป็นพลเรือนคนธรรมดาที่ใช้คำว่านายนำหน้าชื่อ กับรัฐมนตรีที่เป็นทหารยศพลเอกแถมเป็นเพื่อนกับนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.อีกต่างหาก
ส่งผลกระเทือนไปยังงานด้านเกษตรที่ต้องทำร่วมกันก็ชะงัก เกิดปัญหาไม่คืบหน้า ไปด้วย
เอาแล้วสิ!! แล้วแบบนี้ จะทำงานกันต่อไปได้ยังไง
และปัญหานี้ก็สุกงอมได้ที่ มาถึงจุดพีคของ “รอยร้าว” ที่เม๊าท์ให้แซ่ดทั้งคนทำเนียบรัฐบาลและคนกระทรวงเกษตร ที่กำลังจะบานปลายกลายเป็นข่าวใหญ่มากกว่านี้
เรื่องร้อนนี้ไม่มีทางที่จะเล็ดลอดโสตประสาทของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่ใช้อำนาจแบบเงียบๆ ในการลงนาม “คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 182/2559 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2559” คำสั่งนี้เป็นอำนาจปกติของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่อำนาจ ม.44 ที่คุ้นเคยในยุคนี้
เป็นการปรับปรุงคำสั่งใหม่ในการมอบหมายและมอบอำนาจรองนายกรัฐมนตรีในการกำกับดูแลกระทรวง
ที่สลับให้ “บิ๊กจิน” พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นั่งกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เพิ่มอีกกระทรวงแทน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
คำสั่งนี้ ทำให้พลอากาศเอกประจิน ได้กำกับดูแลเพิ่มขึ้นจาก 4 หน่วยงาน เป็น 5 หน่วยงาน คือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และล่าสุด คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ส่วน ดร.สมคิด งานเบาลงจาก 7 หน่วยงาน เหลือ 6 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม
แต่เรื่องนี้ “บิ๊กฉัตร” ก็ออกเคลียร์ใจทันที
“ ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเกาเหลา ระหว่างผมกับท่านสมคิด เพราะไม่มีเรื่องเกาเหลากับใคร แต่เข้าใจว่านายกฯต้องการให้นายสมคิด ไปเดินหน้าผลักดันงานเศรษฐกิจ สามารถไปโรดโชว์ต่างประเทศได้เต็มที่เพื่อหนุนเศรษฐกิจประเทศ และพล.อ.อ.ประจิน ก็เป็น คสช.ดูแลด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว และผมก็ยังอยู่ในคสช. สามารถทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา ซึ่งเร็วๆนี้ จะเชิญพล.อ.อ.ประจินมาที่กระทรวงเกษตรฯเพื่อรับทราบการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ ”
แต่ “วงใน” เม๊าท์กันสนั่นว่า สาเหตุการออกคำสั่งสายฟ้าแลบ เนื่องจาก “2 เสือ” ในถ้ำเศรษฐกิจไม่พอใจสไตล์การทำงานของกันและกัน จึงทำให้ “สมคิด” ที่บิ๊กตู่เป็นคนเชิญมาทำงาน เกิดความหงุดหงิดและคับข้องใจ เพราะเศรษฐกิจหลัก 2 กระทรวง คือ กระทรวงการคลัง และ กระทรวงพาณิชย์ทำงานเร็ว รับลูกนโยบายรัฐบาลและพร้อมปฏิบัติ งัดทุกโครงการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับบน จนถึงระดับรากหญ้า
ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ ที่หมายหมั้นปั้นมือจะอัดเม็ดเงินลงไปเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กลับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ดั่งใจ ทำให้ตัวเลขของภาคการเกษตร และรายได้ของเกษตรกรออกมาไม่เป็นที่พึ่งพอใจ สร้างความหงุดหงิดใจให้ ดร.สมคิด และนายกฯ ทั้งที่เป็นกระทรวงที่มีบุคลากรเป็นจำนวนมาก
รวมไปถึงการบริหารจัดการ “สินค้าการเกษตร” ทั้งการระบายสต๊อกเก่า ส่งออกผลผลิตใหม่ ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องราคาข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย และข้าวโพด ซึ่งเป็นงานคาบเกี่ยวกับกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ที่มีรัฐมนตรีสาย “สมคิด” ดูแลอยู่
และฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นระเบิดเวลา กับการเร่งรัดมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกรที่รัฐบาลต้องการสร้างแรงจูงใจให้ชาวนาเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกข้าวมาทำการเกษตรประเภทอื่นแทนการปลูกข้าว ที่เป็นผลพวงมาจากวิกฤติภัยแล้ง แต่กระทรวงเกษตรฯ ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่ครม.มีมติไว้
จึงทำให้ “สมคิด” ไม่พอใจ จึงไปขอนายกรัฐมนตรีว่าจะขอให้ “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง” ที่เ เข้ามาช่วยดูแลมาตรการนี้ด้วย เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินรวดเร็วขึ้นเพื่อให้ทันปิดไตรมาส 4
แต่กระนั้นแล้ว “บิ๊กตู่” เอง แม้จะออกคำสั่งสลับงานคุมกระทรวงเกษตร ก็ออกโรงดับข่าวเกาเหลาที่เริ่มลุกลามไปถึงข่าวการปรับครม. ที่ลือหนาหูลามไปว่า “บิ๊กฉัตร” ขอเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตร มาช่วยงานอีกตำแหน่ง
เพราะวงในกระทรวงเกษตร เล่าว่า “เจ้ากระทรวง” โอดครวญว่ากระทรวงเกษตรฯ ต้องรับผิดชอบงานใหญ่มากมายในการดูแลเกษตรกรทั้งประเทศ
จึงอยากขอ “รัฐมนตรีช่วย” มาช่วยงานเพิ่มสักคน
หวยรมช.เกษตรจึงไปออกที่หลายชื่อ แต่ตัวเต็งที่มาอันดับต้นๆ ตั้งแต่ไก่โห่อย่าง “โอฬาร พิทักษ์” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นชื่อแรกๆ ที่ถูกปล่อยออกมาให้นั่งรมช.เกษตรฯ หลังเกษียณอายุราชการ ที่กำลังจะมาถึง
หากดูประวัติของ “โอฬาร” แล้วเรียกว่าไม่ธรรมดาคนนึง เพราะเป็นทั้งเพื่อนรัก-เพื่อนร่วมรุ่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นเดียวกับ “บิ๊กฉัตร” เรียกได้ว่ารู้จักมักคุ้นซี้ปึ๊กกับเพื่อนนายกฯคนนี้มานาน
หาก “บิ๊กฉัตร” จะต้องเรียกใช้ใครสักคนย่อมต้องเอาคนที่ไว้ใจได้ รวมถึงมีความชำนาญรู้เรื่องราวเบื้องลึกหนาบางในกระทรวงเกษตรฯ อย่างแน่นอน
แต่ทันทีที่มีชื่อโอฬาร ไปถามตรงๆกับข่าวการปรับครม.จากปากบิ๊กตู่ ก็จะได้คำตอบแบบนี้
“ ไม่มี ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อใครทั้งนั้น ไม่สนใจ ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อ ไม่ตอบ ยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนยังอยู่ที่เดิมทั้งหมด ยังไม่มีการตั้งรัฐมนตรีช่วยจบ ทุกอย่างเป็นเรื่องของผม ”
มหากาพย์นี้ “บิ๊กตู่” รู้ปัญหามาตลอด แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะตัวเองก็เป็นคนเชิญนายสมคิดมาคุมงานด้านเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงยังเป็นที่ปรึกษาคสช. ส่วนพล.อ.ฉัตรชัยเองก็เป็นเพื่อนรักกัน จึงทำให้พล.อ.ประยุทธ์หนักใจในการแก้ปัญหา
จึงตัดสินใจขอแรงพล.อ.อ.ประจิน มาเป็นคนกลางในการแก้ปมปัญหาการทำงาน เพื่อถนอมน้ำใจทั้งนายสมคิดและเพื่อนรักด้วย
เรียกว่า บิ๊กตู่ รู้ปัญหา แล้วก็แก้ปัญหาทันทีแบบถนอมน้ำใจทุกฝ่าย เป็นการ “จับแยก” ที่มาแทนการปรับรื้อ เพื่อเพิ่มสถิติเป็นครม.ประยุทธ์ 3 และไม่ถึงขั้น “โละ” ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทิ้ง
แต่เอาเข้าจริงแล้ว การจับแยกหย่าศึกครั้งนี้ ที่มี “บิ๊กจิน” เป็นตัวกลางจะทำให้กระทรวงเกษตรทำงานด้วยความอิสระมากขึ้น เพราะอย่าลืมว่าในความเป็นทหาร มีความเป็นพี่เป็นน้องสูง
“บิ๊กฉัตร” เป็นเตรียมทหารรุ่น 12 ส่วน “บิ๊กจิน” เป็นรุ่นน้องเตรียมทหารรุ่น 13 ฉะนั้นแล้ว ยาก! ที่น้องจะกำกับดูแลรุ่นพี่ได้
“ หลังจากนี้ผมจะเข้าไปกำกับดูแลและช่วย พล.อ.ฉัตรชัย และช่วยในการทำความเข้าใจในด้านนโยบาย แผนงาน กำกับดูแล เพื่อช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรดีขึ้น ตามที่ทางด้านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมาย ซึ่งการทำงานของรัฐมนตรีก็ได้มีการทำงานอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เพียงแต่จะไปเสริมการงานให้เท่านั้น ”
แน่นอนว่า ปัญหาในทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้น ครม.ประยุทธ์ 2 มาจากการผ่าตัดใหญ่ทีมเศรษฐกิจ ที่มี “หม่อมอุ๋ย” เป็นแม่ทัพ
ที่มาของการผ่าตัด ครม.เศรษฐกิจประยุทธ์ 1 ก็ มีปัญหาคล้ายกันกับตอนนี้ คือ ปัญหาเกาเหลาระหว่าง “รองนายกพลเรือน” กับ รมว.พาณิชย์ ทหารขณะนั้น ที่ชื่อ “บิ๊กฉัตร” ทำงานไม่เข้าขาเช่นกัน
แต่รอบนั้น “หม่อมอุ๋ย” ต้องตะบะแตกกับความละเอียดของ ดร.สมคิด ที่ขณะนั้นนั่งเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาของนายกฯ และเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของคสช. ที่มีภารกิจในการแนะนำและสกรีนวาระที่กระทรวงเศรษฐกิจที่จะเสนอเข้าครม.
หลายวาระถูกตีตกในห้องครม. และหลายวาระก็ถูกตีตกตั้งแต่ยังไม่แทงเรื่องเข้าครม. เลยด้วยซ้ำ
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การจับแยก คู่ “เกาเหลา” ออกจากกัน ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะแก้ปัญหาได้สักเพียงไร เพราะสุดท้ายครม. ก็เหมือนทีมฟุตบอลที่ต้อง “ทำงานเป็นทีม” ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
อย่าให้เป็นเพียงการปะผุเพื่อ “บรรเทา” ที่ไม่นำไปสู่การ “รักษา” ที่แท้จริง.