ลุ้น! นายกฯแถลง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ – ฉีดยาแรงแค่ไหน?
แถลง-ไม่แถลง? “มาตรการ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ” ค่ำวันที่ 25 มี.ค.นี้ คนไทยยังต้องลุ้น! แต่ที่แน่ๆ กองทัพยุคนี้ เป็น “เนื้อเดียวกัน” กับ “รัฐบาลลุงตู่” มากกว่าการประกาศใช้กฎหมายพิเศษฯ ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้น อย่าได้มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ที่ต้องฉีดยาแรงถึงขั้นประหัตถ์ประหารอย่างเด็ดขาด!
ระหว่างที่คนไทยกำลังจดจ่ออยู่กับรายละเอียดของแผนในการประกาศใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ที่รัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เตรียมจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มี.ค.นี้
โดยนัดหมายออกแถลงการณ์ครั้งใหม่ ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) โดยมีช่อง NBT เป็นแม่ข่าย ในช่วงเวลา 14.00 น. ของวันที่ 25 มี.ค. ก่อนจะประกาศยกเลิกออกไปแบบไม่มีกำหนด กระทั่ง ในเวลาต่อมา มีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำการบันทึกเทปแถลงการณ์ดังกล่าว เพื่อนำมาออกอากาศในค่ำวันเดียวกัน
จะเลื่อนไม่เลื่อนอย่างไร? นั่นเรื่องนึง แต่ที่สุดแล้ว “หัวหน้ารัฐบาล” จะมีรายละเอียดของแผน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอะไร? อย่างไร? ครอบคลุมไปไกลแค่ไหน?
กระนั้น ก็พอจะมีความชัดเจนเล็กๆ จาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อช่วงสายวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำนอง…
นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.โควิด-19) จะใช้มาตรการแก้ปัญหาจากเบาไปหาหนัก โดยจะพิจารณาถึงผลการดำเนินการ และความร่วมมือของทุกฝ่าย เบื้องต้นได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการไว้ที่ 1 เดือน แต่จะต้องพิจารณาการใช้มาตรการให้เหมาะสมตามสถานการณ์
กระนั้น สิ่งที่สังคมไทยอยากรู้มากกว่า “การใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก” ก็คือ…บนมาตรการใดๆ ภายใต้ พรก.ฉุกเฉินฯครั้งนี้ รัฐบาล โดยอำนาจเต็มของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น จะใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19)
หรือก้าวล่วงไปใน “เกมการเมือง” ด้วยการ “ปิดหูปิดตาปิดปาก” เอากับฝ่ายตรงข้าม และกลุ่มที่ไม่เห็นกับรัฐบาลชุดนี้
เพราะบางมาตรการ ที่ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และสื่อมวลชนบางกลุ่ม ตั้งข้อสังเกต คือ…
มาตรการที่ “ศอฉ.โควิด-19” เตรียมจะประกาศออกมานั้น เป็นไปอย่างรอบคอบ และจำกัดสิทธิประชาชนมากเกินไปหรือไม่?
โดยเฉพาะมุมมองและบางข้อเสนอที่ พรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) มีต่อรัฐบาลก็คือ
รัฐบาลต้องไม่ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อลิดรอนเสรีภาพของสื่อมวลชน เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และละเมิดสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน เนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่รอบด้านมีความสำคัญในช่วงเวลาวิกฤต เพื่อทำให้ประชาชนเท่าทันกับสถานการณ์ที่เป็นจริงและสามารถที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้
และเนื่องจาก พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจรัฐบาลและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง เช่น อำนาจจับกุม ควบคุมตัว ตรวจค้น ตรวจสอบการสื่อสาร และกำหนดโทษร้ายแรง โดยข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตาม พ.ร.ก. นี้ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยศาลปกครอง และพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก. นี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย
ดังนั้น รัฐบาลต้องไม่ฉวยโอกาสใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ตามอำเภอใจ แต่ต้องใช้อำนาจอย่างได้สัดส่วนต่อการแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 เท่านั้น และต้องให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และสมควรแก่เหตุหรือไม่?
เป็น 2 ข้อที่บาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจของ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลชุดนี้ยิ่งนัก
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ลุกลามไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย จนล่าสุด ที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเมื่อช่วงสายของวันที่ 25 มี.ค. ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับข้อมูลว่ามีผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ 107 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 934 ราย ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 13 ราย กลับบ้านสะสม 70 ราย โดยในจำนวนนี้ มีแพทย์ติดเชื้อ 2 ราย และเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่ รพ. ซึ่งเข้ารับการผ่าตัด และทานข้าวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งพบว่ามีผู้สัมผัสร่วม 15 คน ในห้องผ่าตัด และหมออีก 10 คน ทั้งหมด 25 คนต้องพักงาน
หาก การประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ไม่สามารถจะหยุดยั้งอัตราเร่งในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทั่ง รัฐบาลจำต้องใช้มาตรการหนักขึ้นเรื่อยๆ และไปละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน จนยากจะยินยอมและรับได้แล้ว
จะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองไทยในวันข้างหน้า?
อย่าลืมว่า…การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุค…พันธมิตรฯ (เสื้อเหลือ) นปช. (เสื้อแดง) และ กปปส. (เสื้อหลากสี) แทบไม่มีครั้งไหน? ที่กองทัพจะเป็น “เนื้อเดียวกัน” ได้มากเหมือนกับยุคของรัฐบาลชุดนี้
ฉะนั้น ความเห็นต่างจากฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล ย่อมมิใช่ศัตรูคู่อาฆาต…ที่อีกฝ่าย ซึ่งมี “กำลังพลและอำนาจปืน” เคียงข้าง จะใช้เป็นข้ออ้าง…ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด กระทั่ง กลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ!.