ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ
(SCB CIO)วิเคราะห์ เรื่องตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ โดยรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และผลการประชุม Fed
ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ โดยรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนและผลการประชุม Fed
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (2 – 6 ธ.ค.) ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วปิดผสมผสาน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐฯ-จีนใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่ง ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดบวกเช่นกัน หลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 26 ล้านล้านเยน ขณะที่ ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าเหล็กกล้า-อลูมิเนียมจากบราซิลและอาร์เจนตินา และ กำลังพิจารณาเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น ด้านตลาดหุ้นจีน ปรับเพิ่มขึ้นขานรับความคืบหน้าการเจรจาการค้า หลังจีนเตรียมลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ประกอบกับธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ขณะที่ราคาน้ำมัน ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงมากกว่าคาด และกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ลงมติปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเกินกว่าคาดด้านราคาทองคำ ปรับลดลง โดยนักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น จากการคาดหวังความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ โดยนักลงทุนรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งคาดว่า สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 150 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ในอัตรา 15% ออกไป หลังจากมีรายงานว่า จีนกำลังดำเนินการเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีถั่วเหลืองและเนื้อหมูบางส่วน ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าในเฟสแรกภายในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ยังเป็นไปได้ยาก หลังจากจีนต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกการปรับขึ้นภาษี โดยเป็นส่วนหนึ่งของการทำข้อตกลงการค้า นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอติดตาม ผลการเลือกตั้งทั่วไปของสหราชอาณาจักร ซึ่งหากนายบอริส จอห์นสัน ได้รับเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลตามที่เราคาดไว้ จะทำให้กระบวนการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ดำเนินต่อไป ตามข้อตกลงที่นายบอริส จอห์นสัน ได้ร่างไว้กับสหภาพยุโรป แต่หากผลการเลือกตั้งออกมาไม่มีพรรคใดได้รับเสียงข้างมาก จะส่งผลให้เกิดความกังวลต่อประเด็น Brexit อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นฯ อาจได้รับแรงหนุนจากการที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และ อาจส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป
เหตุการณ์สำคัญ
· การประชุม Fed (11-12 ธ.ค.) คาดว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5%-1.75% และอาจปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP รวมทั้งปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลง นอกจากนี้ Fed อาจจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องตึงตัวในตลาดเงินที่มากขึ้น
· การประชุม ECB (12 ธ.ค.) คาดว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้ที่ ECB และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อยู่ที่ 0% -0.5% และ 0.25% ตามลำดับ รวมทั้งคงมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ อยู่ที่ 20 พันล้านยูโร/เดือน ทั้งนี้ รอติดตามถ้อยแถลงของนางคริสติน ลาการ์ด เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน เป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งประธาน ECB
· การเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร (12 ธ.ค.) เราคาดว่า มีแนวโน้มค่อนข้างมากที่ นายบอริส จอห์นสันหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมจะได้รับเสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความนิยมล่าสุดและ จะทำให้เกิดการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อประเด็น Brexit