ธ.ก.ส.ดันเกษตรอุตสาหกรรมแก้จน
“คนจนต้องหมดไปจากประเทศไทย” คำประกาศิตจาก “รัฐบาลประยุทธ์ 1” บนเวที “THAILAND 2018 จุดเปลี่ยนและความท้าทาย” เมื่อช่วงปลายปี 60 ที่แสดงความมั่นอกมั่นใจอย่างมาก ว่า ในห้วงสิ้นปี 61 ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ครั้งแรกในรอบ 5 ปีเศษ (หลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57) คือ ในวันที่ 24 มี.ค.62 นั้น
ประเทศไทยจะไม่มีคนจนหลงเหลืออีกต่อไป
แม้ “รัฐบาลประยุทธ์ 1” ต่อเนื่องถึง “รัฐบาลประยุทธ์ 2” จะสานต่อแนวคิด นโยบาย รวมถึงแนวทางการดำเนินงานในลักษณะที่ไม่ต่างกันมากนัก เน้นความต่อเนื่องเพื่อลดและแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศ แต่ทว่าจาก “ปัจจัยลบ” ทั้งในและนอกประเทศ ที่มีมากมายเกือบตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่สู้จะอำนวยโอกาสและก่อประโยชน์เชิงบวก ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะภารกิจในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้มากนัก
ส่งผลทำให้ยอดตัวเลข “คนด้อยโอกาส” ในสังคมไทย ไม่เพียงจะไม่หมดไปจากประเทศไทย หากยังทำให้ยอดผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เคยมีเพียง 11 ล้านคน (ใบ) ในปี 60 ขยับเพิ่มไปเป็น 14.6 ล้านคน (ใบ) ในทุกวันนี้
แม้การทำงานอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา จะสะท้อนถึงความตั้งใจจริงของ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ต่อความพยายามในการจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ทว่าก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้…
แล้วทางออกในเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร? ลองไปฟังมุมมองและแนวคิดของ “ผู้บริหารระดับสูง” จากหน่วยงานที่น่าจะมีภารกิจสอดรับกับแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับคนไทย ได้ใกล้เคียงที่สุดในยามนี้ อย่าง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผจก.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กันดูว่า…
สิ่งที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ เว็บไซต์ข่าว AEC10NEWS นั้น มีโอกาสแห่งความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? กับคำถามและคำตอบจากชายคนนี้…
ถาม : สถานการณ์ปัญหาความยากจนของประเทศไทยเป็นอย่างไร? และ ธ.ก.ส. ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรบ้าง?
ตอบ : ปัญหาความยากจนอยู่คู่กับคนไทยและสังคมไทยมายาวนาน รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา ต่างมีตั้งเป้าหมายจะลดปัญหาความยากจนให้คนไทย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่เกษตรกรต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่นายทุนในอัตราที่แพงมาก ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมอบหมายให้ ธ.ก.ส.รับโอนหนี้ดังกล่าว มาไว้กับ ธ.ก.ส.แทน ซึ่งได้ดำเนินการในเรื่องนี้มายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ปัญหาหนี้นอกระบบก็ยังไม่หมดไปสังคมไทย นั่นเพราะเกษตรกรมักจะไปกู้ยืมหนี้สินก้อนใหม่มาใช้ในยามที่ขาดรายได้ หรือไม่มีรายได้จากสินค้าเกษตร
ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ในฐานะธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบาล ได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดภาระหนี้ มาตรการพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ และมาตรการสร้างภูมิคุ้มกัน ผ่านโครงการสินเชื่อพัฒนาตนเองและโครงการอื่นๆ มากมาย แต่ดูเหมือนสิ่งนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ขาดความยั่งยืนและความต่อเนื่อง
ดังนั้น ธ.ก.ส.จึงต้องทบทวนบทบาทและภารกิจของตัวเองใหม่ โดยวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาความยากจน และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ด้วยการแยกตามกลุ่มช่วงอายุของเกษตรกร พร้อมกับปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ จากเดิมที่เน้นการอัดฉีดเงินผ่านมาตรการและโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว ไปสู่การดำเนินงานในรูปแบบใหม่
ถาม : แนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาความยากจน สัมพันธ์กับช่วงอายุของเกษตรกรอย่างไร? จำเป็นต้องการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ด้วยหรือไม่?
ตอบ : ก่อนอื่นต้องทราบและแยกกลุ่มช่วงอายุของเกษตรกรให้ได้เสียก่อน ซึ่งจากฐานข้อมูลที่ ธ.ก.ส.มี พบว่า เกษตรกรที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. ราว 4 ล้านคนเศษนั้น สามารถแยกเป็นกลุ่มช่วงอายุต่างๆ ดังนี้ คือ ช่วงอายุที่มากกว่า 60 ปี ซึ่งมีประมาณ 1 ใน 3 หรือราว 1.3 ล้านคน และเป็นสัดส่วนเดียวกับกลุ่มช่วงอายุ 50-60 ปี และต่ำกว่า 50 ปี ที่เหลือราว 3 แสนคน เป็นกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี โดยบางส่วนของคนกลุ่มนี้ เคยประกอบอาชีพอื่นๆ มาก่อน และบางส่วนมีความรู้ด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านไอที ซึ่งเริ่มให้ความสนใจในอาชีพเกษตรกรรมแนวทางใหม่อยู่แล้ว
จะด้วยความที่มีครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่ ธ.ก.ส.เชื่อว่า คนกลุ่มนี้จะไปได้ดีกับแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาความยากจน และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยอาจใช้คนกลุ่มนี้ เป็น “แกนนำ” ในการสร้างแนวร่วมภายในชุมชนฯ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดและยั่งยืนต่อไปได้ ซึ่งแตกต่างจากคนกลุ่มใหญ่ที่มีอายุมาก และไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เท่ากันความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ที่จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เลย
ก่อนหน้านี้ ผมและผู้บริหารของ ธ.ก.ส. เคยได้เดินทางไปศึกษาดูงานในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ทั้งในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศญี่ปุ่น ได้เห็นถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาของเขา ซึ่งบางเรื่องก็ดำเนินการคล้ายกับที่รัฐบาลไทยทำ และบางเรื่องก็แตกต่างกัน ซึ่ง ธ.ก.ส.เอง ก็พร้อมจะนำองค์ความรู้ที่ได้มาปรับใช้กับแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไทย
โดยเฉพาะการสร้างโอกาสที่จะมีอาชีพและรายได้เสริม เพิ่มเติมจากอาชีพเกษตรกร โดยเฉพาะการพัฒนาแหล่งชุมชนและที่พักอาศัย ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว รองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ได้มาสัมผัสกับวิถีธรรมชาติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อาหารการกิน และอื่นๆ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานในกำกับดูแล พร้อมจะประสานงานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อบูรณาการการทำงานเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เชื่อมโยงไปยังแหล่งผลิตสินค้าเกษตร ในการสร้าง “อัตลักษณ์” เฉพาะแต่ละท้องถิ่น ที่มีความโดดเด่นและแตกต่าง ชนิดหาซื้อจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างเงิน และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยทั่วประเทศ
ถาม : ธ.ก.ส.คิดจะทำอะไรกับคนรุ่นใหม่ (อายุต่ำกว่า 40 ปีลงมา) และแนวทางในการดำเนินงานเป็นอย่างไร?
ตอบ : ภายใต้พันธกิจในการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ“โรดแมป” แนวทางการทำงานให้สอดคล้องกับภารกิจใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า (63-67) ภายใต้กรอบของแผนยุทธชาติ 20 ปี และยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง นอกจาก ธ.ก.ส.จะเน้นการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง รวมถึงปรับเปลี่ยนพืชเกษตรที่จะเพาะปลูก อันเป็นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ช (อินเตอร์เน็ต) แล้ว
บนความเป็น “ธนาคารอย่างยั่งยืนในทุกด้าน” (Sustainable) จะได้รับการยกระดับไปสู่ความเป็น “ธนาคารเพื่อการพัฒนาชนบท” อย่างจริงจังและยั่งยืนตลอดไป โดยภารกิจที่จะสะท้อนความเป็นตัวตนของ ธ.ก.ส.ภายใต้บทบาทใหม่ ก็คือ การพัฒนาเกษตรกรที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ที่มีมากถึง 300,000 คน และเป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. ก้าวไปสู่ความเป็น “เกษตรกรรุ่นใหม่” หรือ “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” แต่ในระยะแรกจะเน้นกับเกษตรกร 100,000 คนก่อน เนื่องจากมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การเปิดกว้างต่อการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ จากนั้น ค่อยขยายให้ครบทั้ง 300,000 คนในปีต่อๆ ไป
ถาม : ปัจจุบัน มี “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” ที่เข้าร่วมโครงการต่างๆ ของ ธ.ก.ส.มากน้อยแค่ไหน?
ตอบ : ทุกวันนี้ ธ.ก.ส.ได้ส่งเสริมและพัฒนาจนพูดได้ว่า มี “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” ที่พร้อมจะก้าวเดินไปในโลกแห่งเทคโนโลยีร่วมกับ ธ.ก.ส.แล้ว ไม่น้อยกว่า 70,000 คน คาดว่าจะครบ 100,000 คน ตามแผนระยะแรกภายในช่วงเดือน มี.ค.63 นี้อย่างแน่นอน โดย ธ.ก.ส.คาดหวังและใช้ “จุดเด่น” ของคนกลุ่มนี้ ทำหน้าที่เป็น “เทรนเนอร์” หรือ “ผู้นำชุมชน” เพื่อสร้างแรงจูงใจในการยกระดับและพัฒนาเกษตรกรกลุ่มอื่นๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์ ทันสมัย สามารถจะเดินเคียงคู่ไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้บ้าง
โดยจะไม่เน้นการส่งเสริมให้ลูกค้าของ ธ.ก.ส.มีอาชีพแค่เป็นเกษตรกรเหมือนเช่นอดีต แต่จะเน้นการสร้างรายได้ต่อยอดจากอาชีพเกษตรกร เช่น การสร้างอาชีพเสริมโดยใช้ทุกสิ่งที่ชุมชนท้องถิ่นจะพึงมี การแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เปลี่ยนจาก “เกษตกรดั้งเดิม” เป็น “เกษตรอุตสาหกรรม” ที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยดึงการท่องเที่ยวทุกมิติเข้ามาเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและชุมชนที่ผลิตสินค้าอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ การปฏิรูปภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อภารกิจใหม่ของ ธ.ก.ส. ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและพัฒนาคน อาชีพ และระบบสหกรณ์ รวมถึงเร่งสร้างวิสาหกิจชุมชนขึ้นมาใหม่ โดยอาศัย “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” มาร่วมฟื้นฟูและพัฒนา ดึงเอาคนรุ่นเก่าที่ยังพอจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมได้ เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่าเป็น “เกษตรอุตสาหกรรม” ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกอยู่กับสังคมไทยมายาวนาน ได้อย่างยั่งยืนต่อไป.



