กสิกรไทย ชี้ CO2 ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ปี 2024 ที่ผ่านมา การปล่อย CO2 ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 4.16 หมื่นล้านตัน โดยมีที่มาจาก (1) ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหิน และ (2) การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน (Land-Use Emission) เป็นสำคัญ
ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันปิโตรเลียม ต้นเหตุหลักการปล่อย CO2 โลก
เชื้อเพลิงฟอสซิลมีผลต่อการปล่อย CO2 มากที่สุด โดยในปี 2024การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกปล่อย CO2 รวม 3.74 หมื่นล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.8% จากปีก่อน ถึงแม้อัตราการขยายตัวจะชะลอลงเมื่อเทียบกับทศวรรษที่ผ่านมา แต่ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันปิโตรเลียมที่ขยายตัว 2.4% และ 0.9% ตามลำดับ ทำให้ปริมาณการปล่อย CO2 แตะระดับสูงสุด

การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดินเป็นอีกปัจจัยหลักของการปล่อย CO2
การปล่อย CO2 จากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน(Land-Use Emission) ยังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่ 4.2 พันล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 0.5 พันล้านตัน แต่ถือว่าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (-20%) โดยเป็นผลจากการชะลออัตราการตัดไม้ทำลายป่า การปลูกป่าใหม่ และการปลูกป่าทดแทน

บราซิล อินโดนีเซีย และคองโก เป็น 3 ประเทศที่ปล่อย Land-Use Emission มากที่สุด โดยมีสาเหตุจากการตัดไม้เพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ทำฟาร์มปศุสัตว์ ปลูกถั่วเหลือง และปลูกปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ดี การควบคุมการตัดไม้ผิดกฎหมาย นโยบายการอนุรักษ์ป่า และการลดการพึ่งพาการเผาป่าใหม่เพื่อทำเกษตรกรรม ทำให้ปริมาณการปล่อย CO2 ลดลงแล้วเมื่อเทียบกับอดีต
EUDR เป็นมาตราการที่บังคับใช้เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า เช่น ถั่วเหลือง, เนื้อวัว, น้ำมันปาล์ม, ไม้, กาแฟ, โกโก้ และยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าหลักของประเทศบราซิลและอินโดนีเซีย
ปลายปีน่าจะเห็นทิศทางการผลักดันการลดการปล่อย CO2 จาก Land-Use มากขึ้น โดยเฉพาะจากมาตรการ EU Deforestation Regulation (EUDR) ที่จะเริ่มบังคับใช้ปลายปีและผลที่จะเกิดจากการประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นช่วงปลายปีนี้ น่าจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการผลักดันการลดการปล่อย CO2 และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ผ่านการปรับปรุงแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDCs) โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งเจ้าภาพบราซิลเป็นหนี่งในประเทศที่ปล่อย CO2 จากแหล่งดังกล่าวมากที่สุดและได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดประเทศหนึ่งเช่นกัน
CO2 ในบรรยากาศเข้มข้นขึ้นมีส่วนจากทั้งการปล่อยมากขึ้นและการดูดกลับที่แย่ลง
การดูดกลับคาร์บอนที่ไม่มากพอ ร่วมกับการปล่อย CO2 ที่มากขึ้น และปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ยิ่งทำให้ความเข้มข้นของ CO2 ในบรรยากาศมากขึ้น โดยอยู่ในระดับ 424.6
ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในปี 2024 เพิ่มขึ้น 3.5 ppm จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 52% จากระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (280 ppm ในปี 1750)

เมื่อต้นปี 2025 มีเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนียที่กินพื้นที่ป่ามากกว่า
1 แสนไร่ และได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 2.5แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากสภาวะเอลนีโญที่ทำให้สภาพอากาศร้อน แห้ง และมีลมแรง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดไฟป่า
ได้ง่าย
นอกจากนี้ สภาวะเอลนีโญก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ CO2 คงเหลืออยู่ในบรรยากาศสูงมาก นอกเหนือจากปริมาณป่าไม้ที่ลดลง โดยเอลนีโญเป็นทั้งต้นเหตุของปัญหา ได้แก่ การเกิดไฟป่ารุนแรงในอเมริกาใต้และแคนาดาที่มีสาเหตุมาจากภัยแล้งที่ยาวนานจากสภาวะเอลนีโญ และยังเป็นต้นเหตุของความสามารถในการดูดกลับ CO2 ออกจากบรรยากาศแย่ลงอีกด้วย จากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของดินและมหาสมุทรโดยเฉลี่ยที่ทำให้การดูดซับ CO2 เกิดขึ้นได้น้อยลง ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการปล่อยCO2 ไม่ลดลง ถึงแม้จะมีการดำเนินมาตรการมากมาย
ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีความพยายามจากหลายประเทศในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่การปล่อย CO2 ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งการใช้พลังงานหมุนเวียนยังไม่สามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ผ่านมาได้
เพื่อลดโลกร้อน การปล่อย CO2 ต้องลดลงเฉลี่ย 3.9% ต่อปี จนถึงปี 2050 เพื่อบรรลุ Net Zero โดยมีหลายมาตรการระหว่างประเทศที่พยายามช่วยลดผลกระทบดังกล่าว เช่น กฎหมายปราศจากการทำลายป่า (EUDR) มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของ (CBAM) ของสหภาพยุโรป เป็นต้น
สหรัฐฯ และปัญหา Geopolitics อาจเป็นอีกตัวการทำให้การปล่อย CO2 โลกสูงขึ้น
การไม่ให้ความสำคัญต่อการลด CO2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะทำให้การปล่อย CO2 โลกสูงขึ้นอีก ถึงแม้จะมีความพยายามจากประเทศอื่นๆ มาช่วยอาจจะไม่เพียงพออิทธิพลของการสนับสนุนอุตสาหกรรมฟอสซิล การลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม การขัดขวางข้อตกลงด้านสภาพอากาศของสหรัฐฯ ต่อประเทศอื่นๆ ที่กำลังพยายามลด CO2 ให้หันไปใช้พลังงานฟอสซิลอีกครั้ง
สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่ถอนตัวจาก NZBA
• Goldman Sachs
• Wells Fargo
• Citigroup
• Bank of America
• JP Morgan
• Morgan Stanley
ในปี 2024 ยังเห็นภาพของการลดความสำคัญต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมจากภาคการเงินในสหรัฐฯ จากการถอนตัวจาก Net Zero Banking Alliance (NZBA) ซึ่งเป็นพันธมิตรระดับโลกที่มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเป็นผลจากอิทธิพลทางการเมืองและนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน บริษัทน้ำมันรายใหญ่ก็มีการปรับกลยุทธ์โดยเพิ่มการลงทุนในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แทนที่จะเดินหน้าลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างเต็มที่เช่นกัน เช่น การลดงบประมาณประจำปีสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Net Zero จาก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเหลือสูงสุด 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ของ BP รวมถึงการขยายการผลิตน้ำมันของ ExxonMobil และ Chevron ก่อนหน้านี้
ในระดับประเทศ ประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics) อาจทำให้หลายประเทศยุติการให้ความร่วมมือต่อความสำคัญกับการลด CO2 ได้ในระยะสั้น โดยอาจเกิดการชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และหันกลับไปใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานหรือลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้าเนื่องจากปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี การเร่งลงทุนในพลังงานสะอาด การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานใหม่ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในหลายประเทศ เช่น EUDR CBAM รวมถึงเป้าหมายการเป็น Net Zero ระดับองค์กร และระดับประเทศ จะมีส่วนทำให้ CO2 จะลดลงได้ในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คว้ารางวัล Most Innovative Research House