SCB EIC วิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็ก
การผลิตเหล็กในประเทศปี 2025 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากอุปสงค์การใช้งานที่เพิ่มขึ้นในภาคการก่อสร้างเป็นหลักแต่ยังมีปัจจัยกดดันจากเหล็กจีนที่เข้ามาตีตลาดอย่างต่อเนื่อง
อุปสงค์การใช้งานเหล็กที่หดตัวทั้งในภาคการก่อสร้าง และการผลิตรถยนต์ในช่วงต้นปี 2024 ประกอบกับเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาด ส่งผลให้ปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศปี 2024 มีแนวโน้มหดตัว 12.7%YOY อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปี 2025 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านตัน (+0.8%YOY) จากอุปสงค์การใช้งานที่ขยายตัวโดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง ขณะที่เหล็กจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่ายังคงถูกนำเข้ามาใช้งานต่อไป กระทบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทย (%CapU) ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนอยู่ในระดับต่ำกว่า 30% ซึ่งเป็นอัตราที่ถือว่าค่อนข้างวิกฤตในปัจจุบัน
นอกจากนี้ การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้ามาทำการตลาดเชิงรุกของผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็กจากจีนยังเป็นปัจจัยกดดันให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตที่หนักกว่าเดิมสำหรับราคาเหล็กในปี 2025 ยังคงมีแนวโน้มที่ลดลงตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบ และราคาพลังงานส่งผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กต้องหาแนวทางบริหารจัดการต้นทุน และการระบายสต็อกสินค้า เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาจำหน่ายสินค้าเหล็กที่มีโอกาสลดลง
การปรับตัวเข้าสู่ Carbon neutrality จะเป็นปัจจัยกดดันผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็ก โดยผู้ผลิตเหล็กที่สามารถลดการปล่อย GHG จะเป็นผู้ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
การตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ส่งผลให้ทั่วโลกเริ่มมีการใช้นโยบาย และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษี CBAM ของกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้ผลิตเหล็กของไทยเริ่มมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงได้มีการจัดทำข้อมูลการปล่อย GHG เพื่อสร้างโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของ Green supply chain ของอุตสาหกรรมเหล็ก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางแนวโน้มที่ทั่วโลกกำลังปรับตัวเข้าสู่ Carbon neutrality
อุตสาหกรรมเหล็กของไทยประกอบด้วยผู้ประกอบการกลุ่มกลางน้ำ และผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำ โดยผู้ประกอบการกลุ่มกลางน้ำ เป็นผู้ผลิตและแปรรูปวัตถุดิบเหล็กขั้นกลาง ได้แก่ เหล็กแท่งแบน (Slab) และเหล็กแท่งยาว (Billet) ซึ่งส่วนมากต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากการหลอมเศษเหล็กในประเทศเพื่อนำมาผลิตเป็นเหล็กกลางน้ำ ยังคงไม่เพียงพอต่อการนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าเหล็กขั้นปลาย สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำ เป็นผู้ผลิตสินค้าขั้นปลาย โดยการนำผลิตภัณฑ์เหล็กกลางน้ำไปแปรรูป ผ่านกระบวนการรีดร้อน รีดเย็น เคลือบผิว หรือนำไปขึ้นรูปเป็นเหล็กในรูปทรงต่าง ๆ เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อน/เย็น เหล็กเคลือบ/ชุบ เหล็กเส้น และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณต่าง ๆทั้งนี้สามารถจำแนกผู้ประกอบการตามกิจกรรมและกลุ่มประเภทสินค้าได้ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ผู้ผลิตเหล็กทรงยาว 2) ผู้ผลิตเหล็กทรงแบน 3) ผู้ค้าเหล็ก และ 4) ผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่มีการผลิตหรือจำหน่ายเหล็กซึ่งไม่ได้ถูกจัดกลุ่มไว้ใน 3 กลุ่มข้างต้น
รูปที่ 1 : บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดอุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้า
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อุตสาหกรรมเหล็กของไทย ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเหล็กทรงยาวสำหรับการก่อสร้างในประเทศ ขณะที่เหล็กราคาถูกจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงต่อเนื่องการใช้งานเหล็กของไทยต้องอาศัยการนำเข้ากว่า 66% ไทยมีการผลิตเหล็กที่ราว 7.5 ตัน/ปี
การประกาศยกเลิกใช้งานเตาหลอมประเภทอินดักชัน (Induction furnace : IF) โดยรัฐบาลจีนในปี 2021 ทำให้อุปทานสินค้าเหล็กในช่วงดังกล่าวหยุดชะงัก ต่อเนื่องมายังสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีความรุนแรงขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2022 ได้ส่งผลให้ราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดกว่า 60% เมื่อเทียบกับราคาเหล็กในช่วงก่อนปี 2021 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 มาถึงปี 2024 ราคาเหล็กได้มีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ได้แก่ ผู้ผลิตเหล็ก และผู้ค้าเหล็ก ต่างเผชิญภาวะรายได้ที่หดตัว รวมถึงกลุ่มที่ไม่สามารถบริหารจัดการสต็อกได้ดี ยังเผชิญภาวะขาดทุนจากสต็อกสินค้าที่ระบายได้ช้ากว่าอัตราการลดลงของราคาเหล็ก
การผลิตเหล็กของไทยเป็นการผลิตเพื่อใช้งานในประเทศเป็นหลัก โดยในช่วงปี 2019-2023 มีการผลิตเหล็กในประเทศประมาณ 7.5 ล้านตัน/ปี แบ่งเป็นการผลิตเหล็กทรงยาวที่ใช้ในการก่อสร้าง 70% และอีก 30% เป็นการผลิตเหล็กทรงแบนที่นำไปใช้ทั้งในการก่อสร้าง การผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ขณะที่ความต้องการใช้งานเหล็กโดยรวมในประเทศประมาณ 17.3 ล้านตัน/ปี ในจำนวนนี้ เป็นการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศมาใช้งานมากถึง 11.5 ล้านตัน/ปี คิดเป็นสัดส่วน 66% ของปริมาณการใช้งานเหล็กในประเทศ
ทั้งนี้ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา การนำเข้าเหล็กของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โครงสร้างต้นทุน ราคาเหล็กจากต่างประเทศที่ถูกกว่า การส่งสินค้าเหล็กเข้ามาทุ่มตลาด การระบายอุปทานส่วนเกินของเหล็กจีนจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ความต้องการเหล็กในจีนหดตัว ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กของไทยต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น กระทบกับความสามารถในการสร้างรายได้ และรักษาอัตรากำไร โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กในประเทศที่ลดลงจนเข้าสู่ระดับที่ต่ำกว่า 30% ของกำลังการผลิตโดยรวม สะท้อนภาวะวิกฤตของอุตสาหกรรม
Industry outlook and trend
การใช้งานเหล็กในประเทศตลอดทั้งปี 2024 มีแนวโน้มลดลง 2.9%YOY จากความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณประจำปี 2024 ในช่วงสี่เดือนแรกของปี รวมถึงการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย และยอดการผลิตรถยนต์ที่หดตัว ขณะที่ราคาเหล็กยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025
การใช้งานเหล็กในประเทศปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว1.1% ปริมาณการใช้งานเหล็กสำเร็จรูปในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2024 อยู่ที่ 9.4 ล้านตัน หดตัว 5.2%YOY จากความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณประจำปี 2024 รวมถึงการลงทุนก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย และยอดการผลิตรถยนต์ที่หดตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 แม้ว่าจะสามารถเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2024 ในช่วงท้ายปีงบประมาณได้ แต่คาดว่ายังไม่สามารถชดเชยปริมาณการใช้งานเหล็กที่หดตัวตั้งแต่ช่วงต้นปีได้ ส่งผลให้ความต้องการใช้งานเหล็กในประเทศปี 2024 มีแนวโน้มอยู่ที่ 15.9 ล้านตัน (-2.9%YOY) สำหรับในปี 2025 อุปสงค์การใช้งานเหล็กในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น1.1%YOY ตามกิจกรรมก่อสร้าง รวมถึงยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าในปี 2024 ราคาเหล็กไทยปี 2025 มีแนวโน้มลดลง 2.3%
ราคาเฉลี่ยเหล็กทรงยาว และเหล็กทรงแบนในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 มีแนวโน้มอยู่ที่ประมาณ 22,000 บาท/ตัน และ 24,000 บาท/ตัน ตามลำดับ โดยราคาเหล็กในปี 2025 ยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ -2.3%YOY
ตามแนวโน้มราคาเหล็กในจีนที่ปรับตัวลดลงจากราคาวัตถุดิบ และราคาพลังงาน ได้แก่ สินแร่เหล็ก และถ่านหิน ที่คาดว่าจะลดลง และยังมีปัจจัยกดดันราคาเหล็ก จากอุปสงค์ที่อ่อนแอจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่คาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัว
การผลิตเหล็กในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย จากการผลิตเหล็กทรงยาวที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญการเข้ามาตีตลาดของเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศ
ปริมาณการผลิตเหล็ก ปี 2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น0.8% ในปี 2025 การผลิตเหล็กของไทยมีแนวโน้มอยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านตัน(+0.8%YOY) จากการผลิตเหล็กทรงยาวที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากกิจกรรมการก่อสร้างในประเทศ ขณะที่การผลิตเหล็กทรงแบนยังมีปัจจัยกดดันจากการแข่งขันกับเหล็กที่ถูกระบายมาจากจีน ทั้งนี้อุปทานเหล็กโดยรวมที่มาจากการผลิตในประเทศ และการนำเข้า ฟื้นตัวสอดคล้องกับความต้องการใช้งานเหล็กในประเทศ อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็กของไทยคิดเป็นสัดส่วนเพียง33% ของอุปทานเหล็กโดยรวม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากในอดีตโดยอัตราการใช้กำลังการผลิต (%CapU) เหลือเพียง 30% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2024 ลดลงจาก 32% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ซึ่งถือว่าเป็นภาวะวิกฤตของอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อเทียบกับในอดีตปี 2016-2021 ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 35-40%
สัดส่วนปริมาณการผลิตเหล็กของไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง มีสาเหตุหลักมาจากการเข้ามาตีตลาดของเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศที่มีความได้เปรียบด้านโครงสร้างราคา โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งยังเป็นผลมาจากการระบายสินค้าเหล็กที่เป็นอุปทานส่วนเกิน ที่ยังมีการผลิตเกินความต้องการใช้งาน และคาดว่าเหล็กจากจีนยังคงจะถูกระบายออกมายังไทยเพิ่มมากขึ้นในปี 2025 เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามผลการพิจารณาการต่ออายุมาตรการปกป้องสินค้าที่ถูกนำเข้ามาทุ่มตลาด (Anti-dumping : AD) ที่ไทยมีการใช้กับสินค้าเหล็กประเภทต่าง ๆ จากจีน ที่จะสิ้นสุดในช่วงที่เหลือของปี 2024-2025 ได้แก่เหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็น เหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอน เหล็กแผ่นรีดเย็นชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน และเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อน ที่ยังคงถูกนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตเหล็กของไทยค่อนข้างมาก รวมถึงยังต้องติดตามปริมาณการนำเข้าลวดเหล็กที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงปี 2023-2024ว่าจะเป็นสินค้าเหล็กที่ถูกนำเข้ามาด้วยวิธีการทุ่มตลาดหรือไม่
ทั้งนี้มาตรการ AD ซึ่งมีกลไกของการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า จะช่วยลดปริมาณสินค้าเหล็กที่ถูกนำเข้ามาทุ่มตลาด ดังตัวอย่างกรณีการต่ออายุมาตรการ AD กับสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบหรือชุบอะลูมิเนียมและสังกะสีแล้วทาสีจากเวียดนามในเดือนพฤษภาคม 2023 ได้ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากเวียดนามลดลงทันที หลังจากที่มีการประกาศต่ออายุมาตรการออกไปอีก 5 ปี อย่างไรก็ตาม ผลของการใช้มาตรการ AD อาจเป็นไปอย่างจำกัด ดังตัวอย่างกรณีที่ไทยมีการใช้มาตรการ AD กับสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจากจีนมาโดยตลอด แต่ก็ยังคงพบว่า การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากจีนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า 15-20% เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่ผลิตในประเทศ แม้รวมอัตราภาษีจากมาตรการ AD แล้ว โดยเป็นผลมาจากต้นทุนการผลิตเหล็กจีน ที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตเหล็กในไทยเป็นอย่างมาก กับอีกส่วนหนึ่งเป็นการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นที่มีโครงสร้างราคาที่ต่ำกว่ามาก ที่เป็นการนำเข้าด้วยวิธีปกติ
Competitive landscape
ผู้ประกอบการกลุ่มที่มีศักยภาพในการแข่งขัน ได้แก่ กลุ่มที่มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน และระบายสต็อก รวมถึงกลุ่มที่สามารถปรับกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อย GHG ได้
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กจำนวนมากประสบกับภาวะขาดทุน ทั้งกลุ่มผู้ผลิตที่มียอดขายลดลงจากการลดลงของราคาเหล็ก และการลดปริมาณการผลิตเหล็ก เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับเหล็กจากต่างประเทศที่ราคาถูกกว่า รวมถึงยังเผชิญกับภาวะขาดทุนจากต้นทุนสินค้าในสต็อกที่ได้มาในช่วงเวลาก่อนหน้า สูงกว่าราคาในช่วงที่มีการจำหน่าย อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ที่สามารถบริหารความเสี่ยง และมีความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ โดยเฉพาะการจัดหาวัตถุดิบ ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้สามารถจัดหาวัตถุดิบได้ในราคาและปริมาณที่เหมาะสมกับแผนการผลิต และสามารถระบายสต็อกสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาผลประกอบการท่ามกลางความผันผวนของราคาเหล็กได้
นอกจากนี้ การเข้ามาตีตลาดของเหล็กราคาถูกจากต่างประเทศ รวมทั้งการเข้ามาทำการตลาดเชิงรุก เช่น การเข้ามาเปิดโชว์รูมสินค้าเหล็กของผู้ผลิต และผู้ค้าเหล็กจากจีน เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าเหล็กจากโรงงานในจีนโดยตรง ส่งผลให้ทั้งผู้ผลิตเหล็ก และผู้ค้าเหล็กของไทย ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นโดยสินค้าจากจีนมีความได้เปรียบในด้านการกำหนดราคาขายได้ต่ำ จากปริมาณการผลิตที่มากจนเกิด Economies of Scale ดังนั้น กลุ่มผู้ผลิตเหล็กของไทย จึงควรหันมาพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า ขณะที่ภาครัฐจำเป็นต้องออกมาตรการต่าง ๆ ควบคู่กันไป เช่น การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กจากจีน การใช้มาตรการ AD เพื่อสกัดสินค้าที่ถูกนำเข้ามาทุ่มตลาด การกำหนดมาตรฐานสินค้าเหล็กนำเข้าและส่งออก การจำกัดการอนุญาตตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่เพื่อรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยเฉพาะผู้ผลิตจากจีน ที่มีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์
สำหรับในระยะข้างหน้า อุตสาหกรรมเหล็กไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตามเทรนด์ของโลกที่มุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon neutrality การตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ เริ่มใช้นโยบาย และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษี CBAM ของกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กไทย ปัจจุบันได้มีกลุ่มผู้ประกอบการเริ่มเตรียมความพร้อมบ้างแล้ว เช่น การวัดปริมาณการปล่อย GHG การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในขั้นตอนการผลิต รวมถึงเริ่มมีการจับกลุ่มคลัสเตอร์ผู้ผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานการผลิต โดยผู้ผลิตเหล็กที่สามารถปรับกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อย GHG และผู้ค้าเหล็กที่สามารถจำหน่ายสินค้าเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานในห่วงโซ่อุปทาน จะเป็นกลุ่มที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด มีโอกาสเพิ่มมูลค่าสินค้า และขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะในยุโรปที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การจัดเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มดำเนินนโยบายในลักษณะเดียวกันในอนาคตนอกจากนี้ การจัดทำ Thailand Taxonomy Phase II ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้ภาคการเงินออกแบบ และนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินช่วยสนับสนุนธุรกิจไปสู่เส้นทางที่เป็นสีเขียว จะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตเหล็กที่มีแผนลดการปล่อย GHG มีโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับการปรับตัวเข้าสู่ Carbon neutrality ได้มากขึ้น
Appendix : ภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หมวดอุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้า*
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วรรณโกมล สุภาชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : SCB EIC เผย ส่งออกไทยฟอร์มสดใส