งบ 67 สส.ฝ่ายค้าน-รัฐบาล “วัดพลัง” ยกแรก
การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระที่สอง-วาระที่สาม จบลงไปแล้ว แบบม้วนเดียวจบ ไม่มี บิ๊กเซอร์ไพรส์-เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
มติเห็นด้วย 298 เสียงของสส.ฝ่ายรัฐบาล โชว์ความเป็น “เอกภาพ” ของพรรคร่วมรัฐบาล เสียงไม่แตก-เหนียวแน่น ไม่มี “พรรคตัวแปร” แสดงพลัง “ต่อรองเก้าอี้” สะท้อนให้เห็นว่า พรรคร่วมรัฐบาล 11 พรรค 314 เสียง ยังเป็น “ปึกแผ่น” สมประโยชน์ทุกพรรค แต่ก็มีร่องรอยของความ “ไม่ลงรอย” อยู่บ้างกรณีพรรคเพื่อไทยโหวตไม่เห็นด้วยการ “ฝายแกนดินซีเมนต์” ของกระทรวงมหาดไทย ที่มี “พรรคครูใหญ่” เป็นเจ้ากระทรวง ซึ่งจะเป็น “ฟางเส้นแรก” ของความหวาดระแวงในพรรคร่วมรัฐบาลต่อไปก็เป็นได้
ขณะที่มติไม่เห็นด้วย 166 เสียงของ สส.พรรคฝ่ายค้าน ที่มีพรรคก้าวไกลเป็น “ตัวยืน” 151 เสียง ยังต้องแบกรับหน้าที่อย่างหนัก ไม่สามารถคอนโทรลพรรคฝ่ายค้านให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ทั้งองคาพยพ รอวันย้ายขั้ว-เปลี่ยนข้าง จึงมีเสียง “ออกนอกแถว” แสดงตัวว่าเป็น 3 สส. “งูเห่า” จากสังกัดพรรคไทยสร้างไทย ที่เหลือยังคงเป็น “เสียงเทาๆ” ยังต้องรอพิสูจน์ทราบต่อไป-ยกต่อ ๆไป โดยเฉพาะ “พรรคเก่าแก่” ยัง “เก็บอาการ” ไม่กระเหี้ยนกระหือรืออยากเข้าร่วมรัฐบาลจนออกนอกหน้า-โหวตสวนมติวิปฝ่ายค้าน
ซ้อมย่อยก่อนศึกซักฟอกใหญ่
ยกต่อไปของการ “ประลองกำลัง” คือ การเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติในวันที่ 3-4 เม.ย. 67 ของพรรคฝ่ายค้าน ก่อนปิดสมัยประชุมในวันที่ 10 เมษายน 67 ประเด็นหลักที่จะหยิบขึ้นมา “เปิดแผล” รัฐบาล คือ “นโยบายไม่ตรงปก” เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่เคยปักหมุดได้ใช้เงินในเดือนพฤษภาคม แต่ “ขยับไทม์ไลน์” ออกไป “ไม่มีกำหนด” กลับไปเริ่มต้นนับ 1 โครงการใหม่ โดยให้คณะอนุกรรมการไปศึกษาความเห็นของกฤษฎีกาและข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.30 วัน ซึ่งครบกำหนดไปแล้วเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา
รวมถึงโครงการ “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” ที่ “ไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล” หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล เตรียมลับฝีปากรอชำแหละความล้มเหลว และที่ไม่พลาด คือ การพักโทษ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็น “เมนูจากหลัก” ที่จะลดเครดิตรัฐบาล อย่างไรก็ตามการที่งบประมาณปี 67 ล่าช้า รัฐบาลยังไม่ได้ใช้เงิน “เต็มเม็ดเต็มหน่วย” ไม่มีหลักฐาน-ประจักษ์พยานที่เป็นใบสั่ง-ใบเสร็จ มัดตัวรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งในรัฐบาลได้ ประกอบกับพรรคฝ่ายค้านตระหนักดีว่าจำนวนเสียง “ล้มรัฐบาลไม่ได้” การเปิด “ศึกซักฟอก” เท่ากับเอาหัวชนฝา-แพ้ทุกประตู มิหนำซ้ำอาจจะ “เสียรังวัด” หากมี “เสียงงูเห่า” เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จึงเป็นเพียงการ “ซ้อมย่อย” ของพรรคฝ่ายค้าน ก่อน “ศึกใหญ่” และรอสัญญาณ “เปลี่ยนตัวนายกฯ” จาก “นายใหญ่” ไปพร้อมกัน
สว.ทิ้งทวน ก่อนครบวาระพ.ค.
คั่นโฆษณาระหว่าง สส.ฝ่ายค้านกับสส.ฝ่ายรัฐบาล ด้วยการอภิปรายทั่วไปของ สว. เพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติในวันที่ 25 มีนาคม 67 ทิ้งทวนก่อนที่ สว.เฉพาะกาลจะหมดวาระ 5 ปี ในวันที่ 11 พฤษภาคม 67 จำนวน 7 ข้อใหญ่ ได้แก่ 1.ปัญหาด้านเศรษฐกิจของชาติ และปัญหาปากท้องของประชาชน 2.ปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย 3.ปัญหาด้านพลังงาน 4.ปัญหาด้านการศึกษา และสังคม 5.ปัญหาด้านการต่างประเทศ และการท่องเที่ยว 6.ปัญหาหารแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 7.ปัญหาการดำเนินการปฏิรูปประเทศและการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
แต่ “หมัดเด็ด” ของ สว.ถูก “ยัดไส้” อยู่ใน 26 ข้อย่อย เช่น ปัญหานโยบายการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ผ่าน กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ช่วยพวกพ้อง หาประโยชน์ส่วนตน สร้างมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ปัญหาสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ไม่เท่าเทียม ทุจริตคอรัปชัน ยาเสพติด การพนัน การเปลี่ยน ส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อเกษตรกรรมอาจเอื้อประโยชน์นายทุน การปราบปรามผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่ของรัฐในการเรียกส่วยหรือการหาผลประโยชน์ ปัญหาโครงสร้างพลังงานของประเทศ กลุ่มทุนพลังงานมีอิทธิพลกับการเมือง การแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในทะเล แม้เป็นเพียงเวที “หลอกด่า” ของฝ่ายอนุรักษนิยม ให้รัฐบาลหน้าชา-แสบ ๆ คัน แต่ไม่ทำให้รัฐบาลเสียขบวน
จัดทัพรับศึกการเมืองครึ่งปีหลัง
ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาในเดือนเม.ย. 67 พรรคการเมืองจะจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามวงรอบกฎหมาย กกต. สบช่องให้จัดทัพ-รับมือการเมืองในครึ่งปีหลัง ไฮไลต์อยู่ที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคก้าวไกล ที่จะดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาพรรค “คับแบ็ก” หัวหน้าพรรคอีกครั้ง หลังจากเจอมรสุมคดีในศาลรัฐธรรมนูญโดนคำสั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่” เพื่อให้ “รีเทิร์น” มาเป็น “หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน” ในการถือธงนำปฏิบัติหน้าที่ในสภาเต็มตัว
อีก 1 พรรค คือ พรรคภูมิใจไทย “ไฟต์บังคับ” ต้อง “เปลี่ยนตัว” เลขาธิการพรรค หลังจากศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เลขาธิการพรรค-อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม “พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี” ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ “คดีซุกหุ้นบุรีเจริญ” ส่งผลให้คำร้องของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่ยื่นคำร้องกับ กกต. ให้ยุบพรรคภูมิใจไทย กรณี “บริจาคเงิน” ไว้ก่อนหน้านี้เดินหน้าต่อ ขณะที่พรรคเพื่อไทย ชิงเซตอัพพรรคไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนพรรคพลังประชารัฐ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรควัยชรา – 78 ปี ย่าง 79 ปี แม้บารมีจะโรยรา แต่ “ศักดิ์ศรีค้ำขอ” ขอคัมแบ็กเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีอีกคำรบ
จึงต้องจับตาการเมืองในช่วง “ครึ่งปีหลัง” หลังจาก สว.บทเฉพาะกาลหมดวาระ กระดานการเมืองจะพลิกคว่ำ-พลิกหงายหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ การ “วัดพลัง” ในศึกงบประมาณปี 67 สส.ฝ่ายรัฐบาลเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะไปใน “ยกแรก”