เศรษฐา สะสมบารมี อุ๊งอิ๊งค์ เก็บชั่วโมงบิน จับตา ผู้มีบารมีนอกทำเนียบ
พระอาทิตย์ 3 ดวงในการเมืองไทย ดูเหมือนว่ารังสีความร้อนแรงจะไม่ยอมแผ่ว แต่กลับแสดงลำแสงให้เห็นความความเห็นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนไหนตัวจริง คนไหนเป็นเพียง “นายกฯนอมินี” มาเพื่อคั่นเวลา-คั่นจังหวะอำนาจ รอเวลาลมเปลี่ยนทิศ-เปลี่ยนมือ
ทักษิณ พักโทษ จันทร์ส่องหล้า รอวัน “พ้นโทษ”
เรื่องราวของ “ทักษิณ ชินวัตร” ตลอด 15 วัน หลังจากได้รับการ “พักโทษ” เกิดเหตุการณ์มากมาย “บุคคลวีวีไอพี” ตบเท้าเข้า “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ชนิดหัวบันไดไม่แห้ง ไล่ตั้งแต่ “สมเด็จ ฯ ฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา “เพื่อนแท้ยามยาก” ของ “อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23” ที่ร่วมทุกข์-ร่วมสุขกันมากว่า 32 ปี ตามด้วย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่ไม่พลาดเข้าไปขอคำชี้แนะ-แนะนำในฐานะเป็น “อดีตนายกรัฐมนตรี” ที่ “ป็อบปูลาร์” มากที่สุดคนหนึ่งในวงการเมืองไทยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ยิ่งมีกระแสข่าว “ปรับครม.” ยิ่งทำห้แสงสปอร์ตไลต์ฉายจับ เพราะจะมีรัฐมนตรีขาลอย-นักการเมืองวิ่งต่อแถว-ซื้อตั๋ว เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้ากันไม่เว้น “วันหยุดครอบครัว”
นับนิ้วเหลือเวลาอีกไม่ถึง 6 เดือน “ดีเดย์” 22 ส.ค. 2567 วันที่ ทักษิณ “พ้นโทษ” ถือ “ใบบริสุทธิ์” ดวงอาทิตย์ “ดวงใหญ่” ที่สุดในวงการการเมืองไทยจะกลับมา “ร้อนแรง” จะไม่ได้ยินแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ออกมาเคลมเป็น “ประกาศิต” จาก “เจ้าของบ้านจันทร์ส่องหล้า” แต่จปรากฎตัวเป็น ๆ ทั้งภาพ-เสียง ทุกแพลตฟอร์ม ออฟไลน์-ออนไลน์ เมื่อถึงวันนั้น บุคคลที่ “ทรงอิทธิพลมากที่สุด” ในทำเนียบรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทยคงเป็นคนอื่น-คนไกล ใครไปไม่ได้นอกจาก “ทักษิณ”
เศรษฐา ตลอนทัวร์ เก็บคะแนนนิยม–เสริมบารมี
ขยับมาที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีอับแสง สวนทางกับตารางลงพื้นที่แน่นเอียดชนิดที่เรียกว่า “คิวทอง” ทั้งต่างจังหวัดและต่างประเทศ ในประเทศนับตั้งแต่ “ทักษิณ” ได้รับการ “พักโทษ” ก็ก้มหน้าก้มตาเดินสาย “ทัวร์อีสาน” ทั้งนครพนม สกลนคร อุดรธานี ตามด้วยการ “ล่องใต้” ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ซึ่งเป็น “พื้นที่สีแดง” ที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยขายได้ แต่การเลือกตั้งเที่ยวหน้า พรรคเพื่อไทย คงหมายมั่นปั้นมือใช้ “แบรนด์เศรษฐา” ขายไปพลางก่อน ก่อนจะ “ย้ำหมุด” ในภาคอีสาน-ฐานเสียงของคนเสื้อแดง อีกหนที่ร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ ก่อนที่จะ “บินลัดฟ้า” เดินทางข้ามทวีป 10 วันเต็ม เริ่มต้นที่ออสเตรีย ฝรั่งเศส และ “ปิดท้าย” ที่เยอรมนี เป็น “เซลส์แมนประเทศไทย” โรดโชว์ หอบแพ็กเกตลงทุน ภายใต้ 8 วิสัยทัศน์ หลังจากนั้นจะกลับมาตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะ “ลุยไฟ” เดินหน้าไปต่อหรือจะ “พอแค่นี้” หลังจากคณะอนุกรรมการศึกษา “ซื้อเวลา” แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครบ 30 วัน ในวันที่ 15 มี.ค. 67
อายุงาน 6 เดือนของ “เศรษฐา” ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ยังไม่ได้พิสูจน์ “ภาวะผู้นำ” ให้คนไทยได้เห็นศักยภาพว่า “เก่งจริง” ทั้งในเชิงการบริหารธุรกิจ แต่เป็น “ตัวจริง-เสียงจริง” ในการบริหารเศรษฐากิจของประเทศด้วย ถึงกับต้องตัดพ้อเรื่อง “ความไม่เชื่อมั่น” ใน “ตัวผู้นำ” เพราะเศรษฐา แม้จะประสบความสำเร็จในบทบาทของ “ซีอีโอ” ทำผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สำหรับ “ต้นทุนทางการเมือง” ยังดำดิ่ง ต้องใช้เวลา “เก็บคะแนนนิยม-เสริมบารมี” แสดงให้ประสิทธิภาพ-ความกล้าหาญทางการเมือง “เป็นตัวของตัวเอง” ไม่ยี่หระกับ “อำนาจแฝง” ในพรรคเพื่อไทยและที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เศรษฐาหลุดพ้นจาก “เงาทักษิณ” ที่มีบ่าว-บริวารแวดล้อมรอบตัวเศรษฐาบนตึกไทยคู่ฟ้า ค่อยสอดส่อง-สอดแนมไปถึงหู “คนบ้านใหญ่” ให้รับรู้จังหวะก้าว-ทุกฝีเท้าของเศรษฐา แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
อุ๊งอิ๊งค์ สะสมชั่วโมงบิน โซ่ข้อกลางซ้ายกลาง-ขวากลาง
4 มี.ค. 67 จะได้เห็นย่างกรายของ “ลูกนางพญา” อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปยังกัมพูชาตามคำเชิญของ “สมเด็จฯฮุน เซน” จนถูกตั้งคำถาม-หวาดระแวงว่าจะไปเจรจาความเมือง ปมพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาหรือไม่ เพราะด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นของ “สองนายกผู้พ่อ” แห่งตระกูลชินวัตร-ตระกูลฮุน ที่ส่งต่อมายัง “ทายาททางการเมือง” ในทายาททางสายโลหิตและ “นายกฯนอกไส้” ทุก “ภาษากาย” ของอุ๊งอิงค์จึงต้องถูกจับจ้อง จากเครือข่ายอำนาจเก่า
พรรษาทางการเมืองของ “อุ๊งอิ๊งค์” ยังไม่แกร่งกล้าแข็ง ยังต้อง “สะสมชั่วโมงบิน” อีกหลายไมล์ แต่ยังพอมีเวลาที่จะ “ฝึกงาน” จาก “นายกฯผู้พ่อ” รวมถึง “นายกฯพี่นิด” ที่คอยเป็น “พี่เลี้ยง” ก่อนที่จะลง “หลังเสือ” อย่างเร็วในการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า หรือในปี 70 โดยเฉพาะการมีชื่อติดอยู่ 1 ในรายชื่ออบรมหลักสูตร “มินิ วปอ.” จะเป็นการ “เรียนหลักสูตรเร่งรัด” เชื่อมต่อกับเครือข่ายอำมาตย์-คอนเน็คชั่น “อภิสิทธิ์ชน” และ “ชนชั้นนำ” ในปีก “อนุรักษนิยม” เป็น “โซ่ข้อกลาง” ระหว่างฝ่าย “ซ้ายกลาง” กับ “ขวากลาง” ตีกันพรรคก้าวไกลให้อยู่รอบนอกวงโคจรศูนย์กลางอำนาจ
“บิ๊กแดง” ดาวฤกษ์ดวงใหม่ ปลุก “อนุรักษนิมยม” คืนชีพ
แต่ที่ต้องจับตา คือ กระแสข่าวของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผบ.ทบ. กรรมการและหัวหน้าสำนักงานผู้อำนวยการ-รองผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีปัญหาสุขภาพ กำลังจะกลายเป็น “ดาวฤกษ์ดวงที่สอง” ต่อจาก “นายกฯนายพลรุ่นพี่” อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ 8 ปี ที่จะมาเปล่งประกายแสงในการเมืองไทย หากจะหวนลงเวทีการเมือง ซึ่งจะเป็นปลุก “ปีกอนุรักษนิยม” ให้กลับมาฟื้นคืนชีพ-รวบรวมไพร่พลที่แตกกระสายซ่านเซ่นให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง “วงจรยอดนิยม” ของการเมืองไทยเหมือนจะไกลแต่กับใกล้