ก้าวแรก พิธา คัมแบ็กสส. ลุ้น ก้าวไกล ชนะคูหาเลือกตั้ง
และแล้วฟ้ามีตา “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ดาวเด่น แห่งพรรคก้าวไกลก็ “พ้นมลทิน” หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 ต่อ 1 คืนสภาพความเป็น สส. ฟื้นสถานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “พรรคอันดับ 1” 151 เสียง เรียก “คะแนนสงสาร” กลับมาเป็นกระบุงโกยจากวิบากกรรม “หุ้นไอทีวี” ทำให้พิธาต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่”
ก้าวแรกที่ “นายกฯ 14 ล้านคะแนน” เข้าสภา แสดงบทบาท “ผู้นำฝ่ายค้านเงา” ทันที และประกาศ “จับตา” 3 นโยบาย “เรือธง” ของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ทั้งโครงการแลน์ดบริดจ์ – ดิจิทัลวอลเลต และซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมกับ “ฉายหนังตัวอย่าง” เปิด “ศึกซักฟอก” รัฐบาลเศรษฐาครั้งแรกในเดือนเมษายน หลังจากพรรคก้าวไกลประชุมใหญ่วิสามัญพรรค โดยมี “วาระพิจารณา” เลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่-หน้าเดิม เป็น “พรมแดง” ปูทางให้พิธา “ชูธง” นำทัพก้าวไกลเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสภาครั้งแรกในฐานะ “ผู้นำฝ่ายค้าน” พร้อมกับกาง “ไทม์ไลน์” 6 หมุดหมายสำคัญ
ไทม์ไลน์ 6 หมุดหมาย-จุดเปลี่ยนก้าวไกล
เดือนก.พ.พิธาจะ “ขันนอต” การในงานในตำแหน่งประธานกรรมาธิการ – “ตัดเกรด” สส.ของพรรค หลังจากในช่วงที่พิธาน้องถูกเว้นวรรคสส.- ถอดหัวโขนหัวหน้าพรรค จนทำให้ “ลูกพรรค” ทำให้เสื่อมเสีย ปมคุกคามทางเพศ เดือนเมษายน เตรียมยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปรัฐบาลเศรษฐา แต่หากมี “ใบเสร็จ” อาจจะถึงขั้นยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเดือนเดียวกันจะมีการประชุมใหญ่สามัญของพรรคเพื่อ “จัดทัพใหม่” ให้พิธา “รีเทิร์น” ถือธงนำพรรคอีกครั้ง
เดือนพ.ค.จะมีการจัด “บิ๊กแคมเปญ” ชื่อ “Policy Festival” เป็นงานสัมมนาประจำปีครั้งแรกของพรรคก้าวไกลในวันที่ 11-12 พ.ค. 2567 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ สว.250 กลไกสืบทอดอำนาจคสช. “ปลดระวาง” โดยจะเปิดวาระเปลี่ยนประเทศตามวิถีก้าวไกล-ระดมสมองออกแบบประเทศไทยในฝัน เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมเป็นเทศกาลอภิปรายงบประมาณปี 2568 ซึ่งเป็น “ปีงบประมาณจริง” ของรัฐบาลเศรษฐา “ปิดท้าย” ปลายปี 2567 เตรียมการเลือกตั้งสนามท้องถิ่นอย่าง “นายก อบจ” ต้นปี 68 ซึ่งจะได้เห็นการ “ผนึกกำลัง” ของพรรคก้าวไกล และ “คณะก้าวหน้า” ที่มี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้นำทางจิตวิญญาณของพลพรรคสีส้มอีกครั้ง
6 บิ๊กแบง 4 Key Success Factors
การฟื้นคืนชีพของ “พิธา” ครั้งแรกในรอบ 6 เดือนเต็ม “เคาะสนิม” ด้วยการวางโรดแมป-แถลงแผนการทำงานของพรรคก้าวไกลวงรอบ 1 ปีนับจากนี้ “6 บิ๊กแบง” หนึ่ง “ประชาธิปไตยเต็มใบ” ปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ รัฐธรรมนูญใหม่ สอง “ยกระดับคุณภาพชีวิต” ขนส่งสาธารณะ สวัสดิการ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข แรงงาน สาม “หยุดแช่แข็งชนบทไทย” ลดต้นทุนภาคเกษตร เพิ่มเครื่องจักรการผลิต เพิ่มแหล่งน้ำ แปลง ส.ป.ก. เป็นโฉนด แก้ไขปัญหาหนี้สิน สี่ “ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่” ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจ ปราบโกง-โปร่งใส Digital transformation กิโยตินกฎหมาย ห้า “เรียนรู้ทันโลก” หลักสูตรใหม่ ลดภาระครู Reskill-upskill ตัดอำนาจนิยม และ หก “เติบโตแบบมีคุณภาพ” สร้างงานดี-ลงทุนท้องถิ่น สนับสนุน SMEs ท่องเที่ยวคุณภาพ อุตสาหกรรมใหม่ เศรษฐกิจสร้างสรรค์
4 ปัจจัยความสำเร็จ หรือ 4 Key Success Factors ผ่านการผลักดันกฎหมาย 47 ฉบับ โดยเข้าวาระสภาไปแล้ว 21 ฉบับ ประกอบด้วย 3 ฉบับสภากำลังพิจารณา ได้แก่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม พ.ร.บ.ฝุ่นพิษและการก่อมลพิษข้ามพรมแดน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 17 ฉบับ บรรจุเข้าวาระการประชุมสภา-รอบรรจุระเบียบวาระ เช่น พ.ร.บ.รับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า พ.ร.บ.ปลดล็อกอุตสาหกรรมผู้ใหญ่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่มี 1 ฉบับ สภาปัดตก คือ “สภาก้าวหน้า” – ข้อบังคับประชุมสภา โดยมี “กฎหมายเรือธง” จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ สมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยน สปก.เป็นโฉนด และกฎหมายแก้ฝุ่นพิษ
ฝ่าด่านศาลรัฐธรรมนูญ “ล้มเลิก” ม.112
โดยมี “8 ขุนพลก้าวไกล” ในกรรมาธิการ 8 คณะเป็นมือไม้-แขนขาในสภา ทั้ง “ศักดินัย นุ่มหนู” กรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” กรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” กรรมาธิการทหาร “อภิชาต ศิริสุนทร” กรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ กรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ “สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล” กรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ “ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์” กรรมาธิการสวัสดิการสังคม และ “รังสิมันต์ โรม” กรรมาธิการความมั่นคงฯ
ระหว่างทาง “พิธา” และ “พลพรรคก้าวไกล” ยังต้องลุ้นฝ่าด่าน “นิติสงคราม” อีก 1 ด่าน ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำพิพากษา “คดีล้มล้างการปกครอง” ในวันที่ 31 ม.ค. 2567 แต่ พิธา-ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค แกนนำพรรคก้าวไกลอย่าง “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรค และนักนิติศาสตร์-กูรูวิเคราะห์การเมือง “ฟันธง” ตรงกันว่าจะไม่ “ซ้ำรอย” พรรคอนาคตใหม่” แต่คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ “ล้มเลิก” การแก้ “ม.112” จะไม่ “เลวร้าย” ถึงเป็นการ “ล้มล้าง” จนถึงขึ้น “ยุบพรรค” ตัดสินกรรมการบริหารพรรค 10 ปี
จุดเปลี่ยน สว.ครบวาระ – ชนะคูหาเลือกตั้ง
เมื่อเดือนพ.ค. 67 จะเข้าสู่ช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” แห่งอำนาจ เมื่อ สว.ลากตั้ง 250 คนจะครบวาระในวันที่ 11 พ.ค. 2567 ไม่มีอำนาจเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีตาม “บทเฉพาะกาล” ทำให้ สส.500 คน จะมี “อำนาจเต็ม” ในการกำหนดตัว “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจะ “เข้าทาง” พรรคก้าวไกลที่เสนอชื่อ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หรือหากรัฐบาลเพื่อไทยลากยาวไปจน “ครบวาระ 4 ปี” ได้ แต่สมการทางการเมืองจะถูกรีสตาร์ทขึ้นมาใหม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 159 วรรคสาม การเลือกนายกรัฐมนตรีใช้เพียง เสียงของ สส. “เกินครึ่ง” หรือ 250 เสียงก็มีลุ้นที่พรรคก้าวไกลจะคว้าชัย-ชนะในคูหาเลือกตั้ง
“ก้าวแรก” ของพิธา ในฐานะ สส. จะ “ก้าวไกล” ไปถึงเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรีคนที่ 31” หรือไม่ จงติดตามด้วยใจระทึก