กรุงศรีปรับลดจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.9%
เศรษฐกิจไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโตเพียง 1.9% วิจัยกรุงศรีเตรียมปรับลดประมาณการ GDP ปี 2566 ลงจาก 2.8%
GDP ไตรมาส 3 เติบโตต่ำที่ 1.5% YoY เศรษฐกิจทั้งปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ที่ 2.8% สภาพัฒน์ฯ รายงาน GDP ใน 3Q2566 ขยายตัวเพียง 1.5% YoY จากขยายตัว 1.8% ในไตรมาสก่อน ต่ำกว่าที่ตลาดและวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ +2.4% และ +2.0% ตามลำดับ การชะลอตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 3 เป็นผลจาก (i) การส่งออกสินค้าที่ลดลง ii) การใช้จ่ายรัฐบาลลดลง เนื่องจากการลดลงของการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 รวมทั้งการหดตัวของรายจ่ายด้านการลงทุน และ (iii) การลดลงของสินค้าคงคลังในไตรมาสนี้ (-220%) ซึ่งนับว่ามีส่วนสำคัญที่ฉุดการเติบโตของ GDP อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และการลงทุนของภาคเอกชนที่เติบโตเร่งขึ้น สำหรับภาคการผลิต (Supply side) ผลกระทบจากส่งออกที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 (-4.0%) สาขาเกษตรกรรมขยายตัวชะลอลง (+0.9%) ขณะที่ภาคท่องเที่ยวที่เติบโตช่วยหนุนให้สาขาบริการในส่วนที่พักแรมและร้านอาหารยังเติบโตสูง (+14.9%) ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นขยายตัว 2.5% จากเดิมคาด 2.7% และคาดปี 2567 เติบโตที่ 2.7%-3.7% (ค่ากลางที่ 3.2%)
วิจัยกรุงศรีเตรียมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.8% ปัจจัยลบจาก GDP ไตรมาส 3 เติบโตต่ำกว่าคาด รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยอาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 28.5 ล้านคน ซึ่งในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 22.2 ล้านคน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่ายังมีแนวโน้มเติบโตเร่งขึ้น ผลบวกจาก (i) ฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อนแล้ว (ii) แรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพทั้งค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการเดินทาง รวมถึงมาตรการพักหนี้เกษตรกร (iii) การกระเตื้องขึ้นของภาคส่งออกในช่วงปลายปี และ (iv) การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว
ทางการออกมาตรการเพิ่มเติม ขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีรายละเอียดมากขึ้นแต่ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องติดตาม เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงรายละเอียดของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่าจะแจกให้กับบุคคลที่อายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท และหรือมีเงินฝากในทุกบัญชีรวมไม่เกิน 5 แสนบาท ซึ่งจะทำให้เหลือผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้อยู่ที่ 50 ล้านคน ส่วนที่มาของงบประมาณที่ใช้ในโครงการ จะเป็นการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินกู้จำนวน 5 แสนล้านบาท โดยเบื้องต้นรัฐบาลประเมินว่าจะเริ่มแจกให้ประชาชนใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 และสิ้นสุดโครงการเดือนเมษายน 2570 อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิในโครงการนี้หรือมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 70,000 บาท รัฐบาลเตรียมออกโครงการ E-Refund โดยให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าสูงสุดได้ไม่เกิน 50,000 บาท มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คาดว่าจะเริ่มในเดือนมกราคม 2567 นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ผ่านการลงทุนในกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG) โดยกำหนดระยะเวลาลงทุน 8 ปีเต็ม วงเงินลงทุนไม่เกิน 100,000 บาท/ราย คาดจะเริ่มได้ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ เพื่อสนับสนุนการออมในระยะยาวและช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดทุนไทย
แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ยังต้องรออนุมัติตามกระบวนการการออกพ.ร.บ. เงินกู้จำนวน 5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะมาตรา 53 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 “กำหนดให้การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน” ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาพอสมควร เริ่มตั้งแต่ (i) การตีความโดยคณะกรรมการกฤษฏีกา (ii) นำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา (ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน แล้วจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบ) และ (iii) การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงยังต้องติดตามพัฒนาการในแต่ละขั้นตอนซึ่งจะมีผลต่อความคืบหน้าและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ข้อมูลเพิ่มเติม
วิจัยกรุงศรี: https://www.krungsri.com/th/research/home