แพทองธาร หัวหน้าเพื่อไทย ว่าที่นายกชินวัตร คนที่ 3
ไม่เหนือความคาดหมาย ที่ทายาทคนสุดท้องของบ้านจันทร์ส่องหล้า – ดีเอ็นเอทักษิณ ชินวัตร อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร จะกลายเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ชนิดไร้ของคู่ต่อกร
ก่อนแพทองธารจะก้าวขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรคป้ายแดง” เธอมีตำแหน่งในพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ-ไม่เป็นทางการเมือง ทั้งในพรรคเพื่อไทยและศูนย์กลางอำนาจประเทศไทย
เริ่มตั้งแต่แพทองธารมีสถานะเป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย
แพทองธารย่างกรายอยู่ในวงโคจรอำนาจ-มีตำแหน่งแห่งหนในทำเนียบรัฐบาล ทั้งกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ – ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานกรรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ
แพทองธารเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการเมืองจากผู้ชมตัวยง มาเป็นผู้เล่นหลัก ผ่านการซึมซับประสบการณ์-เดินตามหลังนายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย
“จุดแข็ง” ของแพทองธาร คือ มีเงานายใหญ่-ผู้นำทางจิตวิญญาณของพลพรรคเพื่อไทยตัวจริง-เสียงจริง คอยให้คำปรึกษาแบบต่อสายตรงได้ 24 ชั่วโมง สิงสถิตอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
เครื่องหมายคำถามตัวโต คือ แพทองธารสะสมชั่วโมงบิน-พรรษาทางการเมืองมากเพียงพอที่จะสู้รบปรบมือกับนักการเมืองเขี้ยวลากดินแล้วจริงหรือ มิหนำซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับเครือข่ายอำมาตย์-องค์กรอิสระที่ถือดาบชี้เป็นชี้ตาย ทั้งในที่ลับ-ที่แจ้ง
บทเรียนจากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 และปี 2557 ยึดอำนาจรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จนทักษิณ พ่อบังเกิดเกล้าและ “อาปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องเดินทางออกนอกประเทศเพื่อหลบ-ลี้ภัยการเมืองกว่า 17 ปีเต็ม
ไม่เฉพาะการถูกริบอิสรภาพ ทักษิณยังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา “ยึดทรัพย์” ที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับ “ตกเป็นของแผ่นดิน”
ทักษิณยังโดนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. รุกหนัก “ถอดยศ” พันตำรวจโท ออกจาก “ยศตำรวจ” ของทักษิณ เหลือเพียงคำนำหน้าว่า “นาย” และถูกถอดยศ “กองอาสารักษาดินแดง” ออกจากยศ “นายกองใหญ่”
โดน “เรียกคืน” เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์ เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1
การที่แพทองธาร ลงมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเต็มตัวครั้งนี้ จึงเป็นเดิมพันสูง เพราะหนทางข้างหน้าไม่ใช่ดงกุหลาบ แต่เป็นทางรกชัฏที่เต็มไปด้วยพงหนาม
ขณะที่กรรมการบริหารชุดใหม่ ส่วนใหญ่มาจากสายเลือดตระกูลการเมือง-ทายาทบ้านใหญ่ ไล่ตั้งแต่ นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ลูกชายของป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง แห่งมุ้งวังน้ำเย็น
นายพชร จันทรรวงทอง ลูกชายนายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ บุตรชายนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
น.ส.จิราพร สินธุไพร ลูกสาวคนโตของนายนิสิต สินธุไพร อดีตแกนนำคนเสื้อแดง น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร บุตรสาวนายพงศกร อรรณนพพร อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช บุตรชายนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช อดีตผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ หลานชายนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นพ.โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย บ้านใหญ่คนดังจากเมืองชัยภูมิ
พรรคเพื่อไทยถ่ายเลือด-ผลัดใบ เปิดหน้าคนรุ่นใหม่ให้มายืนแถวหน้า เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อทรานส์ฟอร์มสู่เพื่อไทยยุคใหม่ เตรียมความพร้อมเก็บชัยชนะในอีก 4 ปีข้างหน้า หลังแพ้เลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 22 ปี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนผู้บริหารชุดเก่า-นักรบที่มีบาดแผล หลังจากบอบช้ำจากการเลือกครั้งที่ผ่านมา เปิดทาง-ถอยไปอยู่แถวสอง-แถวสาม เช่น หมอชลน่าน – นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ตระบัดสัตย์ไปจับมือกับ “พรรคสองลุง” จัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว จนต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค
เส้นชัยของพรรคเพื่อไทยที่มีแพทองธาร หัวหน้าพรรคคนใหม่ พร้อมทีมผู้บริหารชุดใหม่ คือ การถือธงนำเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้งครั้งหน้าสู้กับพรรคก้าวไกล
ระหว่างทางบนเส้นลวดของทีมผู้บริหารเลือดใหม่ ภายใต้การนำของแพทองธารปักธงสะสมแต้มต่อเพื่อกลับมาเป็นพรรคอันดับ 1 ก่อนเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะเพื่อไทยใช้ต้นทุนทางการเมืองไปจนหมดหน้าตักในการพลิกมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
โจทย์หินต้องแก้ไข-ไม่แก้ตัวเพื่อการโฆษณา เช่น นโยบายหาเสียง “ไม่ตรงปก” โครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ที่โดนถล่มจากนักวิชาการ-ปัญญาชนต้นทุนทางสังคมสูง จนต้อง “ลดเพดาน” ตัดกลุ่มคนรวยออก จากเดิมที่มีสิทธิ์ถ้วนหน้า-หว่านแห
รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่กลับไปกลับมา จนสุดท้ายทนกระแสสังคมทวงคำสัญญาไม่ไหวจนต้องกัดฟัน-เฉือนเนื้อ เพียง 2 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง สลายม็อบทัวร์ลง
ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็น 30 บาทรักษาทุกที่ ที่นำร่องเพียง 4 จังหวัด นโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาทต่อวัน ที่ถูกเตะตัดขาจากรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง กระทั่งการล้ม-เลิกโครงการเรือดำน้ำ เล่นแร่แปรธาตุเป็นเรือฟริเกตแทน
ที่มองข้ามไม่ได้ พอๆ กับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คือ ความเหลื่อมล้ำของระบบยุติธรรม หลังจากนายทักษิณ นักโทษเด็ดขาด ที่กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง-ถูกคุมขังอยู่บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ทำนายศึกเลือกตั้งครั้งหน้าได้เลยว่า คำว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” จะถูกพรรคคู่แข่งไฮปาร์คไม่ยั้ง เพื่อขยายผล-ขยายแผลถล่มพรรคเพื่อไทย ที่มี แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าเวทีปราศรัยแน่นอน
แต่ที่ไม่แน่ หากอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก่อนเวลาอันควร แพทองธารที่ยังมีสถานภาพแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพื่อไทยโดยสมบูรณ์ ขึ้นบัลลังก์ตึกไทยคู่ฟ้า คนที่ 31 โดยไม่ต้องรอออกแรงรบกับพรรคก้าวไกล
เป็น “นายกฯตระกูลชินวัตร คนที่ 3” ต่อจากพ่อโทนี่-อาปูก็เป็นได้