นโยบายเศรษฐกิจเพื่อไทย มันสมองขุนพลทักษิณ

รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเพื่อไทย ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว – พรรคร่วมรัฐบาลเดิม เป็นสัจธรรมการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
ทันทีที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ถูกแขวนชื่อนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ไว้กลางสภาก่อนโหวตรอบสอง ฝังกลบด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่ง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” กรณีถูกร้องถือหุ้นบริษัทไอทีวี
สปอตไลต์ก็ฉายจับมาที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อย่าง “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยมีเงาของ “ทักษิณ ชินวัตร” รอคอยวันกลับบ้านอย่างเท่ๆ
ข้อกล่าวอ้างของพรรคเพื่อไทยที่ว่า “ประชาชนรอไม่ได้” หากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง จึงต้องวาง 3 แผน 3 ทางเลือกในการหาเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยให้ได้ 376 เสียง
ทางเลือกที่ 1 หาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ทางเลือกที่ 2 หาเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.พรรคการเมืองอื่น และทางเลือกที่ 3 ผลจากทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 โดยหนึ่งในสมการของทางเลือกที่ 3 คือ ไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล
หากดูจากคำแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่เป็น “สัญญาประชาคม” ไว้กับ 10.9 ล้านเสียง โดยมีเป้าใหญ่ในการปั๊มเศรษฐกิจให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ 5 ต่อปี
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วย “กระเป๋าเงินดิจิทัล” หรือ “Digital Wallet” สำหรับผู้มีสัญชาติไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท ใช้จ่ายภายในระยะเวลา 6 เดือน บนพื้นที่รอบรัศมี 4 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 560,000 ล้านบาท
ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 600 บาท ภายในปี 2570 ผ่านคณะกรรมการไตรภาคี (นายจ้าง-ลูกจ้าง และรัฐบาล) โดยพิจารณาจาก การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ผลิตภาพแรงงาน (Productivity) และ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation)
เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท รวมถึงข้าราชการ ภายในปี 2570 โดยงบประมาณเพิ่มขึ้น 40,000 ล้านบาท
ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน โดยการสร้างรายได้ผ่านมาตรการ 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ Soft Power (OFOS) สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง วงเงิน 10,000 ล้านบาท
พักหนี้เกษตรกร วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 13,000 ล้านบาท ประกอบด้วย พักเงินต้นและดอกเบี้ย ระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 8,000 ล้านบาท พักหนี้ธุรกิจเฉพาะที่เดือดร้อนจากโควิด-19 ระยะเวลา 1 ปี Pico Finance แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
นโยบายสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) วงเงิน 30,000 ล้านบาท ลดภาระต้นทุนผู้ประกอบการ SMEs การค้ำประกันสินเชื่อ ลดการผูกขาดทางธุรกิจขนาดใหญ่ แก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
ยกระดับเมืองมหานครทั้งระบบ โดยมีนโยบาย “เส้นเลือดฝอย” ได้แก่ 50 เขต 50 โรงพยาบาล Internet ชุมชน เพื่อการเรียนรู้ กรุงเทพเมืองแฟชั่น แก้ปัญหา PM 2.5 ลดปริมาณขยะ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียน้ำท่วม พัฒนาทางเท้า แก้ปัญหาจราจร
รถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย วงเงินงบประมาณ 40,000 ล้านบาท + 8,000 ล้านบาทต่อปี ติดแอร์รถไฟชั้นสามทุกขบวน 920 ล้านบาทต่อปี ยกระดับรถไฟโดยสารทั่วประเทศให้เดินทางแบบไปกลับประจำได้อย่างแท้จริง 11,700 ล้านบาทต่อปี
นโยบายเงินสมทบคนสร้างตัว วงเงิน 90,000 ล้านบาท นโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ วงเงิน 300,000 ล้านบาท นโยบายหวยบำเหน็จ 800 ล้านบาท-ได้รับเงินทุกบาททุกสตางค์คืนตอนอายุ 60 ปี จ้างงานผู้สูงอายุ วงเงิน 500 ล้านบาท
เพิ่มรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาทต่อปี ยกระดับหนังสือเดินทางไทย โดยเร่งเจรจากับประเทศต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนประเทศที่พาสปอร์ตไทยสามารถใช้ได้และประเทศที่สามารถเข้าไปในไทยโดยไม่ต้องขอวีซ่ากระตุ้นการท่องเที่ยว
ส่งเสริมการจัดงานเทศกาลระดับโลก เช่น เทศกาลสงกรานต์เดือนเมษายน และ เทศกาลลอยกระทงเดือนพฤศจิกายน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ราคาสินค้าเกษตรขึ้นยกแผง-รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2570 จากรายได้เฉลี่ย 10,000 บาทต่อไรต่อปี เพิ่มเป็น 30,000 บาทต่อไรต่อปี
นโยบาย 1 ตำบล 1 IT Man คนยุคดิจิทัล จาก 4 แสนคน สู่ 2 ล้านคนใน 4 ปี Blockchain สัญชาติไทย นโยบายเงินสกุลดิจิตอล นโยบายรัฐบาลดิจิตอลเพื่อประชาชน Digital OTOP
นโยบายการบริหารจัดการน้ำ ไม่ท่วม ไม่แล้ง ชนบทมีน้ำกิน น้ำใช้ ด้วยระบบบาดาล วงเงินงบประมาณเบื้องต้น 500,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 15 ล้านไร่ ภายใน 4 ปี
สร้างเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone) เป็นพื้นที่นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่
นโยบายต่างประเทศ ฟื้นฟูบทบาทและเกียรติภูมิของไทยกับเพื่อนบ้านอาเซียนและเวทีโลก เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ปฏิญญาสากลและสิทธิมนุษยชน
กำหนดท่าทีของไทยอย่างเหมาะสมในพลวัติภูมิรัฐศาสตร์โลก ปกป้องประโยชน์ของคนงานไทย ผู้ประกอบการไทย ครอบครัวไทยในต่างแดน หนังสือเดินทางไทยแข็งแรง เดินทางง่ายได้ทั่วโลก
เพิ่มการค้าชายแดนแบบก้าวกระโดด โดยการขยายเวลาเปิดด่านกับกัมพูชา เมียนมาร์ มาเลเซียและลาว เพื่อเปิดประตูมังกรสู่ตลาดจีนที่เชียงใหม่และหนองคาย เพิ่มการลงทุนการค้า เริ่มเจรจาข้อตกลง FTA กับ EU UK และ EFTA ทันที
เร่งหาแหล่งพลังงานโดยการเจรจาแหล่งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในกัมพูชา พลิกฟื้นประมงไทยด้วยการเจรจา IUU ให้ส่งออกประมงไทยกลับมาเป็นอันดับชั้นนำของโลกอีกครั้ง
สานต่อทุกนโยบายของพรรครุ่นพ่ออย่างไทยรักไทย เช่น โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน นโยบายอัพเกรด 30 บาท รักษาทุกโรค
ก่อนการเลือกตั้ง 1 ปี พรรคเพื่อไทยออกคำสั่งพรรคเพื่อไทย ที่ 0006/2565 ตั้งคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย โดยมี “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นประธาน และ นายนพดล ปัทมะ ที่อดีตปรึกษากฎหมายทักษิณ เป็นรองประธาน
ทีมที่ปรึกษา ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว นายจาตุรนต์ ฉายแสง “เฮียเพ้ง” นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง
ขณะที่กรรมการ ได้แก่ อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง อาจารย์ชู-ชูศักดิ์ ศิรินิล นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ดร.นลินี ทวีสิน ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม นายสุทิน คลังแสง
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ นายดนุพร ปุณณกันต์ เสี่ยเผ้า-จักรพงษ์ แสงมณี ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ดร.ประเสริฐ พัฒนผลไพบูลย์ และดร.ธีราภา ไพโรหกุล
ก่อนการเลือกตั้ง 2 เดือน พรรคเพื่อไทย คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ โดยมี “หมอมิ้ง” เป็นประธานกรรมการ และนายกิตติรัตน์ เป็นรองประธานกรรมการ
ทีมกุนซือระดับ “สมองเพชร” นำโดย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ และ นายเศรษฐา ทวีสิน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร
ขณะที่กรรมการ ประกอบด้วย นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ นายจุลพันธ์ อมรวิฒน์ เสี่ยเผ้า-จักรพงษ์ นายกฤษฎา ตันเทิดทิตย์ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล และนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ
มันสมองที่เป็นเครื่องจักรกลผลิตนโยบายเศรษฐกิจ-แคมเปญประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ล้วนแล้วแต่เป็นและเคยเป็นขุนพลข้างกายนายทักษิณ ชินวัตร ผู้กุมชะตากรรมของพรรคก้าวไกลว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน