กรุงไทยวิเคราะห์ภาครัฐเสี่ยงหรือไม่นำเข้าเศรษฐพลาสติก
ผลจากมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกที่จะเริ่มทยอยลดลงในปี 2566-2567
ผลจากมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกที่จะเริ่มทยอยลดลงในปี 2566-2567 และยกเลิกการนำเข้าเศษพลาสติกทั้งหมดในปี 2568 กอปรกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง คาดจะส่งผลให้ราคาขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ในช่วง 14.8-15.8 บาทต่อกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 10%-17% เมื่อเทียบกับราคาขยะพลาสติกในปี 2565 โดยราคาขยะพลาสติกที่ปรับขึ้นจะส่งผลบวกต่อธุรกิจร้านรับซื้อของเก่าที่ขายให้โรงงานรีไซเคิล แต่คาดว่าจะส่งผลลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงงานรีไซเคิลลดลงราว 10% ต่อกิโลกรัม
ในระยะสั้นอาจเกิดภาวะอุปทานขยะพลาสติกตึงตัว อย่างไรก็ดี หากไทยมีระบบจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ปริมาณขยะพลาสติกภายในประเทศเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศสูงถึงราว 1.2-1.4 แสนล้านบาทต่อปี และหากไทยนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 หรือราว 1.5 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก1.55 ล้านตัคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการปลูกป่า 1.3 ล้านไร่ หรือราว 1.3 เท่าของพื้นที่กรุงเทพฯ
Krungthai COMPASS แนะนำผู้ประกอบการจำเป็นต้องเริ่มออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% ขณะที่ภาครัฐควรออกมาตรการคัดแยกขยะจากต้นทาง รวมทั้งส่งเสริมการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศมากขึ้น
ในแต่ละปี ทั่วโลกมีปริมาณขยะพลาสติกมากกว่า 350 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับรถบรรทุกขยะเต็มคันกว่า 10 ล้านคัน ซึ่งขยะพลาสติกส่วนใหญ่กว่า 70% ถูกนำไปฝังกลบหรือเผา โดยมีสัดส่วนเพียง 10% ของปริมาณขยะพลาสติกทั้งหมดที่ถูกนำไปรีไซเคิล การฝังกลบสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากขยะพลาสติกต้องใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายมากถึง 400-500 ปี อีกทั้งยังมีประเด็น การเคลื่อนย้ายเศษและขยะพลาสติกระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ทั่วโลกตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากการนำเข้าเศษพลาสติก สะท้อนได้จากหลายประเทศเข้าร่วมอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนและการกำจัดซึ่งของเสียอันตราย เพื่อควบคุมการขนส่งขยะพลาสติกระหว่างประเทศที่ต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้า (Prior Informed Consent: PIC) จากประเทศผู้นำเข้าและประเทศที่มีการผ่านแดน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564
ยิ่งไปกว่านี้ ในปัจจุบัน หลายประเทศยังออกกฎระเบียบห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ รวมถึงไทยที่ได้เริ่มมาตรการดังกล่าวแล้วเมื่อเดือน ก.พ. 2566 ซึ่งขยะพลาสติกที่นำเข้ามายังไทยส่วนใหญ่จะถูกนำไปรีไซเคิล (Recycle) เพื่อใช้ใหม่ ผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจว่า พลาสติกที่ผลิตภายในประเทศและขยะพลาสติกภายในประเทศที่สามารถรีไซเคิลได้จะเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ และผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวอย่างไร
มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ ของไทยมีรายละเอียดอย่างไรบ้างเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศตั้งแต่ปี 2568 เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยในช่วงปี 2566-2567 จะผ่อนผันการนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่เขตปลอดอากร เฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม 14 แห่งที่กำหนด ได้แก่ โรงงานทั้งหมดที่ใช้เศษพลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร รวมทั้งผ่อนผันการนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่ทั่วไป เฉพาะกรณีที่ไม่มีเศษพลาสติกภายในประเทศหรือมีปริมาณไม่เพียงพอ สำหรับเป็นวัตถุดิบในการผลิตเท่านั้น ก่อนจะยกเลิกการนำเข้าเศษพลาสติกทั้งหมดในปี 2568 ซึ่งนอกจากไทยแล้ว ยังมีหลายประเทศออกกฎระเบียบควบคุมการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย เกาหลีใต้ เวียดนาม เป็นต้น
สถานการณ์การผลิตและการใช้พลาสติกของไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
ก่อนที่จะประเมินถึงผลกระทบของมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ บทความส่วนนี้จะพาท่านผู้อ่านมาทำความเข้าใจในสถานการณ์การผลิตและการใช้พลาสติกของไทย รวมถึงวงจรการเกิดขยะพลาสติก ดังนี้ในปี 2564 ไทยมีปริมาณการผลิตเม็ดพลาสติกอยู่ที่ราว 9.5 ล้านตัน โดยราว 5.6 ล้านตัน (58% ของปริมาณการผลิตเม็ดพลาสติกทั้งหมด) จะถูกส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ส่วนที่เหลืออีกราว 3.9 ล้านตัน จะถูกใช้ร่วมกับเม็ดพลาสติกนำเข้าราว 2 ล้านตัน และเศษพลาสติกรีไซเคิลอีกราว 6 แสนตันเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ภายในประเทศ (รูปที่ 2) โดยส่วนใหญ่นำมาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก (40%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (15%) การก่อสร้าง (15%) ชิ้นส่วนยานยนต์ (6%) และอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน (3%)
สำหรับในส่วนหลังการบริโภค ในแต่ละปีไทยมีปริมาณขยะพลาสติกเฉลี่ยมากถึง 2-2.5 ล้านตัน โดยในปี 2564 ไทยมีปริมาณขยะพลาสติกหลังการบริโภค 2.76 ล้านตัน ซึ่งขยะพลาสติกเหล่านี้มักถูกกำจัดด้วยการฝังกลบ เผา หรือเทกองรวมกับขยะอื่นๆ โดยมีเพียงประมาณ 20% หรือราว 5.5 แสนตันที่ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์เป็นเศษพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งเมื่อรวมกับเศษพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ราว 1.6 แสนตันแล้ว ไทยจะมีการรีไซเคิลพลาสติกหลังการบริโภคราว 7.1 แสนตัน (รูปที่ 3) ซึ่งพลาสติกที่ได้จากการรีไซเคิลหลังการบริโภคเหล่านี้สามารถนำไปแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยเป็นการใช้ผสมกับเม็ดพลาสติกที่ผลิตใหม่ในสัดส่วนที่แตกต่างกันตั้งแต่ 20-100% ของการใช้เม็ดพลาสติกทั้งหมด
ไทยนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศมากแค่ไหน
ในปี 2565 ปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกของไทยอยู่ที่ 1.79 แสนตัน หรือขยายตัว 13.0%YoY คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าราว 47.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกของไทยอยู่ในระดับสูงสุดในปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 5.53 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2559 สาเหตุที่สำคัญมาจากมาตรการห้ามนำเข้าขยะพลาสติกของจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าขยะพลาสติกรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกทั้งหมด ทำให้ขยะพลาสติกที่ไม่สามารถส่งออกไปจีนล้นทะลักไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศข้างเคียงอย่างกลุ่มอาเซียน รวมถึงไทย กอปรกับผู้ประกอบการรีไซเคิลขยะพลาสติกในจีนหลายรายย้ายฐานการผลิต ทั้งนี้ แม้ว่าในปัจจุบันปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกของไทยจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2556-2560 ซึ่งอยู่ที่ราว 8 หมื่นตันต่อปี ทำให้ภาครัฐออกมาตรการควบคุมและห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2568
สำหรับประเทศที่ไทยนำเข้าเศษพลาสติกมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยราว 33% ของปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และจีน (รูปที่ 5) ซึ่งเศษพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาที่ถูกกว่าขยะพลาสติกภายในประเทศประมาณ 2-4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ผู้ประกอบการไทยมักเลือกนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศมากกว่าการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศ เพื่อนำมาแปรรูปและรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือผลิตภัณฑ์ที่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น ดังนั้น มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานพลาสติกอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะส่งผลต่อผู้ประกอบการกลุ่มใดบ้าง
มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทานพลาสติก ดังต่อไปนี้
- ธุรกิจร้านรับซื้อของเก่า เนื่องจากเป็นตัวกลางในการรับซื้อขยะจากประชาชนและซาเล้งเพื่อขายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิล ซึ่งราคาขายต่อขยะพลาสติกของร้านรับซื้อของเก่าที่ขายให้โรงงานรีไซเคิลจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.2 ถึง 2 เท่าของราคาที่รับซื้อขยะพลาสติกจากประชาชนและซาเล้ง
Krungthai COMPASS ประเมินว่า มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะส่งผลกระทบต่อราคาขายต่อขยะพลาสติกให้โรงงานรีไซเคิล โดยในการประเมินเริ่มจากการคาดการณ์ราคาขายต่อขยะพลาสติกจากแนวโน้มราคาเม็ดพลาสติก ซึ่งคำนวณมาจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบ จากนั้นคาดการณ์ราคาขายต่อขยะพลาสติก กรณีรวมผลของมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก โดยประเมินจากการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศของไทย กับการเปลี่ยนแปลงของราคาขายต่อขยะพลาสติกเฉลี่ยในปี 2562-2565 พบว่า เมื่อสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศของไทยเพิ่มขึ้น 1% ทำให้ราคาขายต่อขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นราว 0.9 เท่า แล้วนำตัวเลขดังกล่าวมาคำนวณกับการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศของไทยในปี 2566-2568 โดยทำการประเมิน 3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1: ในปี 2566 โรงงานอุตสาหกรรมนำเข้าเศษพลาสติกเกือบเต็มโควตา (3.4 แสนตัน) หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ที่ 50% ของเศษพลาสติกรีไซเคิลทั้งหมด ส่วนในปี 2567 และ 2568 สัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ที่ 80% และ 100% ตามลำดับ
กรณีที่ 2: ในปี 2566 โรงงานอุตสาหกรรมนำเข้าเศษพลาสติกราว 30% (ราว 2 แสนตัน) หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ที่ 70% ของเศษพลาสติกรีไซเคิลทั้งหมด ส่วนในปี 2567 และ 2568 สัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ที่ 80% และ 100% ตามลำดับ
กรณีที่ 3: ในปี 2566 โรงงานอุตสาหกรรมนำเข้าเศษพลาสติกราว 20% (ราว 1.4 แสนตัน) หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ที่ 80% ของเศษพลาสติกรีไซเคิลทั้งหมด ส่วนในปี 2567 และ 2568 สัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศอยู่ที่ 80% และ 100% ตามลำดับ จากนั้นนำราคาขายต่อขยะพลาสติกที่คำนวณได้ในแต่ละกรณีมาหักลบกับผลของราคาขายต่อขยะพลาสติกที่ลดลงตามราคาน้ำมันราว 0.5-1 บาทต่อปีแล้วหาค่าเฉลี่ยในปี 2566-2568 พบว่า ราคาขายต่อขยะพลาสติกของร้านรับซื้อของเก่าที่ขายให้โรงงานรีไซเคิลในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.4 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าราคาขายต่อขยะพลาสติกในปี 2565 ราว 15% ส่งผลดีต่อรายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจร้านรับซื้อของเก่า
อย่างไรก็ดี ราคาขายต่อขยะพลาสติกภายในประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากผลกระทบของมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก จะทำให้ต้นทุนใน การผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อธุรกิจรีไซเคิลและผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล รวมถึงธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก ดังนี้ธุรกิจรีไซเคิลและผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล เนื่องจากโรงงานรีไซเคิลจะ รับซื้อขยะพลาสติกภายในประเทศร่วมกับการนำเข้าเศษพลาสติกเพื่อนำมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งในแต่ละปีไทยใช้เศษพลาสติกนำเข้าจากต่างประเทศมาแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเฉลี่ยราว 25% ของเศษพลาสติกรีไซเคิลทั้งหมดโดยจากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ชี้ว่า ในปี 2565 ไทยมีโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลพลาสติกจำนวน 4,770 แห่ง ซึ่งกว่า 43% ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รองลงมา ได้แก่ ภาคตะวันออก โดยเฉพาะเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 500 ตันต่อปี
ทั้งนี้ ในปี 2568 โรงงานรีไซเคิลจะเผชิญกับความท้าทายหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1. ผลกระทบจากมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะทำให้ราคาขยะพลาสติกภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบขยะพลาสติกของโรงงานรีไซเคิลสูงขึ้น และ 2. ราคาขายเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีแนวโน้มปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดย Krungthai COMPASS คาดว่า ในปี 2568 ผู้ประกอบการรีไซเคิลจะมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงราว 10% ต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นของการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลทั่วไปในปี 2565 เนื่องจากราคาขายเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศ 100% มีแนวโน้มลดลงราว 10% เป็น 52 บาทต่อกิโลกรัม ตามราคาน้ำมันดิบและการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศ กอปรกับต้นทุนของวัตถุดิบขยะพลาสติกอาจเพิ่มขึ้นราว 20% เป็น 15.4 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเมื่อต้นทุนอื่นๆ คงที่ ทำให้ใน ปี 2568 ผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลจากขยะพลาสติกภายใน ประเทศ 100% จะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 46% ต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลทั่วไปในปี 2565 ที่ 10% ต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้ มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะทำให้ผู้ประกอบการรีไซเคิลจำเป็น ต้องเร่งจัดหาขยะพลาสติกภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่พึ่งพาการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง ซึ่งอาจทำให้ในระยะสั้นเกิดภาวะอุปทานขยะพลาสติกตึงตัว และอาจกระทบต่อการขยายกิจการเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากไทยมีระบบจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ปริมาณขยะพลาสติกภายในประเทศเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศสูงถึงราว 3.6-4.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีหรือราว 1.2-1.4 แสนล้านบาทต่อปี เนื่องจากในแต่ละปีไทยมีปริมาณขยะพลาสติกหลังการบริโภคเฉลี่ยมากถึง 2-2.5 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ได้แก่ ถุงพลาสติก (58%) ขวดพลาสติก (21%) แก้ว กล่องหรือถาดพลาสติก (12%) และอื่นๆ (9%) แต่ขยะพลาสติกถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพียง 20% หรือประมาณ 5 แสนตันต่อปีเท่านั้นสอดคล้องกับอัตราการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ (Recycling Rate) ของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ
อีกทั้ง Krungthai COMPASS มองว่า มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ภาครัฐส่งเสริมการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศมากขึ้น รวมทั้งสร้างความร่วมมือตลอดห่วงโซ่อุปทานรีไซเคิลในการคัดแยกและเก็บรวบรวมขยะแบบแยกประเภท เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย Roadmap การจัดการขยะพลาสติกที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะและนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 จะทำให้ขยะพลาสติกที่ยังไม่ได้นำกลับมาใช้ประโยชน์อีกประมาณ 1.5-2 ล้านตันต่อปีสามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อีกจำนวนมาก ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมที่ราว 6.8 แสนตันต่อปี ส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติกประเภท PET, PE และ PP ซึ่งเป็นประเภทของขยะพลาสติกที่มีอยู่จำนวนมากภายในประเทศ
ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลในการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทต่างๆเนื่องจากต้นทุนของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีแนวโน้มสูงขึ้นตามต้นทุนของวัตถุดิบขยะพลาสติก นอกจากนี้ ผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่นำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เช่น ผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เส้นใยประดิษฐ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี มองว่าผู้ประกอบการธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกอาจสามารถผลักภาระต้นทุน ที่สูงขึ้นบางส่วนไปยังผู้บริโภคได้
หากผู้ประกอบการใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศมากขึ้น จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้แค่ไหน
Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากผู้ประกอบการของไทยหันมาใช้ขยะพลาสติกภายในประเทศมากขึ้น ภายใต้สมมติฐานว่าภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันในการคัดแยกขยะและนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 ตามเป้าหมาย Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของภาครัฐ นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกภายในประเทศราว 1.5 ล้านตันต่อปี ยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1.55 ล้านตันคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการปลูกป่า 130 ล้านต้น คิดเป็นพื้นที่ป่า 1.3 ล้านไร่ หรือราว 1.3 เท่าของพื้นที่กรุงเทพฯ เนื่องจากการนำขยะพลาสติกภายในประเทศกลับมารีไซเคิลจะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในการผลิตวัตถุดิบตั้งต้นใหม่ (Virgin material) รวมทั้งช่วยลดการฝังกลบหรือการเผาขยะพลาสติก โดยประเมินปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการคัดแยกขยะพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิล โดยใช้โปรแกรมคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจาก US EPA’s Waste Reduction Model (WARM) ระบุว่า ค่าสัมประสิทธิ์ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ สำหรับการนำขยะพลาสติกไปรีไซเคิลเพื่อทดแทนวัตถุดิบตั้งต้นใหม่อยู่ที่ 1,031 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อตันขยะ ซึ่งหากกำหนดให้ไทยมีการนำขยะพลาสติกภายในประเทศกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ตามเป้าหมายของภาครัฐ หรือประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี จะช่วยให้ไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1.55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี