เปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ “ป้อมใจป๋า” เปย์หนักมาก
นโยบายพรรคพลังประชารัฐ เลือกตั้ง 2566
พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในการเลือกตั้งปี 2566 นี้ เสนอ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาในสโลแกน ก้าวข้ามความขัดแย้ง พร้อมร่วมมือประสานทุกฝ่ายเพื่อหาทางของประเทศร่วมกัน
สำหรับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2566 นี้ เน้นด้านสวัสดิการเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน โดยเชื่อว่าจะก่อให้เกิดการหมุนเวียน 735,336 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี
นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ พรรคพลังประชารัฐให้มากกว่าใคร โดย 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท เชื่อว่าจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 3 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 2.5% ต่อปี
นโยบายเติมเงินทุนช่วยเหลือเกษตรกร 8 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนละ 30,000 บาท ปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งภาครัฐจะช่วยเหลือค่าปุ๋ย 50% และเพิ่มเงินช่วยเหลือต้นทุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวให้ชาวนา อัตราไร่ละ 2,000 บาท จำนวนไม่เกิน 15 ไร่ รวมเป็น 30,000 บาท คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.4 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1.2% ต่อปี
พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยประกาศ ลดราคาแก๊ส ค่าไฟฟ้า และน้ำมันลงทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ส่วนมาตรการลดราคาแก๊ส ตั้งเป้าเหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย
ที่ฮือฮาไม่แพ้กันคือ นโยบาย ‘แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ‘ แจกเงินคนท้องเดือนละ 10,000 บาท ในเดือนที่ 5 เดือน จนกว่าจะคลอด และเงินช่วยดูแลลูกอีกเดือนละ 3,000 บาท จนถึง 6 ขวบ
พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายโซลาร์รูฟทอป คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี
นโยบาย 1 อบต. 1 โซลาร์ฟาร์ม คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6%ต่อปี
นโยบายเปลี่ยนรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า คาดว่าจะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1% ต่อปี
นอกจากนี้ ยังจะจัดตั้งองค์กรทรัพยากรพลังงานแห่งชาติ ให้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัมปทานแหล่งก๊าซและน้ำมันที่จะทยอยหมดอายุลง โดยภายใน 4 ปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปี 1 แสนล้านบาท เสริมเข้ามาเป็นงบประมาณแผ่นดิน
พล.อ.ประวิตร ยังประกาศโครงการใหญ่ พัฒนาภาคอีสานและภาคตะวันออกให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ – ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าเรือมาบตาพุด – สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ได้ 24 จังหวัด ในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก(EEC) โดยโครงการพัฒนาเส้นทางทางรถไฟ จะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่อ 11 จังหวัดได้แก่ จังหวัดหนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ มหาสารคาม และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม.