เสื้อแดงกลับใจ แปรพักตร์ ‘ทักษิณ’ สวามิภักดิ์ ‘พรรคลุงตู่’

เจ๋ง ดอกจิก-สมหวัง อัสราษี แกนตามกลุ่มนปช. กลับใจ-กลับหลัง 360 องศาให้กับคนเสื้อแดง ร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋งดอกจิก” และ นายสมหวัง อัสราษี อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แปรพักตร์จากนายเก่าดูไบ-ทักษิณ ชินวัตร หันมาสวามิภักดิ์บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“เจ๋ง ดอกจิก” อดีตดาวตลกคาเฟ่ – ชาวสุราษฎร์ธานี คนมีฝันอยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่วัยเด็ก ฝักใฝ่พรรคการเมืองมาแล้ว 3 สังกัด ได้แก่ ไทยรักไทย ชาติไทย และเพื่อแผ่นดิน แต่ไม่เคยปีนไต่ถึงยอดธง เป็น ส.ส.แม้แต่สมัยเดียว
อดีตนักโทษคดีการเมือง เดินเข้า-ออกเรือนจำนับครั้งไม่ถ้วน ปี 49 ถูกกล่าวหาจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง นำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย ปี 55 ถูกตัดสินจำคุกกรณีเปิดเผยเบอร์โทรศัพท์ และชื่อ-ที่อยู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการชุมนุมปี 53
ปี 59 ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี กรณีแจ้งรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ปี 60 ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีมาตรา 112

เจ๋ง ดอกจิก ขึ้นสูงสุดได้เพียงได้รับการแต่งตั้งเป็น “ข้าราชการการเมือง” ในยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ปี 54 ครม.มีมติเห็นชอบให้นายยศวริศ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือ นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทยในขณะนั้น และ ปี 55 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารมช.เกษตรและสหกรณ์
นายสมหวัง หรือ “เฮียหวัง” เถ้าแก่เจ้าของกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ “มิซูชิต้า” ชีวิตลงสู่จุดต่ำสุด คือ การตกตกเป็นบุคคลล้มละลาย
ปัจจุบัน “เฮียหวัง” ส่งมอบให้นางเพ็ญแข เจตน์ประสิทธิ์ สกุลเดิม อัสราษี รับช่วงต่อธุรกิจ-กรรมการบริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีผลประกอบการกำไรต่อเนื่องตลอด 5 ปี (ปี 60- ปี 64)
รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ปี 54 ครม.เห็นชอบแต่งตั้งให้ “เฮียหวัง” ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปี 55 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ต่อมาในปีเดียวกัน “เฮียหวัง” ได้รับการแต่งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ประธานนปช.ในขณะนั้น
เมื่อปี 62 “เฮียหวัง” เคยโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตัดพ้อ-ระบายความรู้สึกถึงวิบากกรรมของตัวเองไว้ ว่า “ใครไม่โดนกับตัวเองจะไม่รู้ ว่าหนักแค่ไหนแบบเดียวกับผม ผมอยู่ นปช. มีแต่ใจเกินร้อยกับพี่น้อง แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังมีชะตากรรมที่ต้องแบกรับแทนคนอื่น สามเกลอ (นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ใช้ผมไปเปิดบัญชี เพื่อรับเงินบริจาค และกิจกรรมอื่นๆ โดยที่พวกเขาไม่ยอมใช้ชื่อตัวเองไปเปิดบัญชีรองรับเงิน เพราะเขารู้ว่าจะถูกสรรพากร ประเมินเสียภาษี
ทั้งหมดนี้ผมโดนสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเงินเหล่านี้ เป็นเงิน 572 ล้าน ผมจะเอาที่ไหนไปจ่าย ก็เลยโดนฟ้องล้มละลาย และตอนนี้โดนอายัดทรัพย์ และอายัดบัญชีทั้งหมดเหลือแต่ตัวแล้วครับ แถมเป็นบุคคลล้มละลายด้วย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย … นี่คือ สมหวัง อัสราษี ผมมันโง่เอง รักพวกจนไม่คิดถึงชีวิต และอนาคตตัวเอง บทเรียนที่แสนแพงในชีวิต ฉิบหายทั้งตระกูล เพียงเพราะคำว่าเพื่อน”

อีก 1 คนเสื้อแดงกลับใจตัวพ่อ คือ แรมโบ้อีสาน-เสกสกล อัตถาวงศ์ แกนนำนปช. แดงทั้งแผ่นดิน สลับขั้วมาอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ในช่วงเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
แรมโบ้อีสานได้ดิบได้ดี-มีตำแหน่งแห่งหนในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เรื่อยมา จนได้รับตำแหน่งพิเศษ
เป็น “องครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์”
ไล่ตั้งแต่เป็น กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด
ในช่วงรับบทบาทเป็นหัวหมู่หน่วยปะ-ฉะ-ดะ ล็อกเตอรี่เกินราคา แพลตฟอร์มหวยออนไลน์มังกรฟ้า-เสือแดง แต่เรื่องมาแดง – ถูกแฉคลิบเสียงยืมเงิน 15 ล้านบาทจากเจ้ามือหวยออนไลน์ เพื่อใช้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562
แรมโบ้อีสาน จึงต้องประกาศลาออกจากทุกตำแหน่ง ไม่รอให้พล.อ.ประยุทธ์ด่างพร้อย
ปัจจุบันมีตำแหน่งแห่งหนเป็นถึงแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นสมาชิกพรรค-ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการกำหนดแนวทาง-ยุทธศาสตร์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ “ซุปเปอร์บอร์ด” และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี
แรมโบ้อีสานจึงเปรียบเป็น “แมวเก้าชีวิต” ที่มีชีวิตอยู่ได้ทั้งในที่มืด-ที่สว่าง อยู่ได้ทั้งกับทักษิณและพล.อ.ประยุทธ์

ก่อนหน้านี้ยังมีอดีตแกนนำ-แกนตามกลุ่มคนเสื้อแดง-นปช. แสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส.ภาคอีสาน ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เช่น นางรัตนาวรรณ สุขศาลา อดีตประธาน นปช. อุดรธานี
รวมถึงนางบุญญาพร นาตะธนภัทร สมาชิก นปช.- ส.ส.พรรคพลังชาติไทย ที่ย้ายมาเป็น ส.ส.คนแรกของพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้ประเดิมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ ในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติระหว่างวันที่ 15-16 ก.พ.ที่ผ่านมา
อดีตแกนนำ-คนเสื้อแดงที่เสนอเสนอตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส.ส่วนใหญ่เป็นภาคอีสาน เช่น นายองอาจ วิเศษ อดีตประธานกลุ่มผู้รักประชาธิปไตยไทย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 อุดรธานี นายณัฏยศ ผาจวง หรือ “ผู้ใหญ่แดงอุดร” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3
นายมานิต อินทร์อำคา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 นายธนวัฒ ขันทะวิชัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 น.ส.อรัญญา ใจมั่น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น นายวุฒิพงศ์ ศุภรมย์ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 5 นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 10
ขณะที่เพื่อไทยกลับใจ-สลับขั้ว นายชยุต พงศ์ธนทรัพย์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา พรรครวมไทยสร้างชาติ หลังจากถูกปลดฟ้าผ่า

ยังมีอนาคตใหม่กลับตัว นายวินท์ สุธีรชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ให้เหตุผลมาร่วมหัวจมท้ายกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะประทับใจ “เพื่อนพ่อ” อย่างนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ขอมาช่วยงาน จนนายไตรรงค์ตั้งเป็นผู้ช่วย
เมื่อลมแห่งเงินตรา-อำนาจเปลี่ยนทิศ อุดมการณ์ก็เปลี่ยนจุดยืน