2 กุมาร เครดิตติดลบ นับถอยหลังเสร็จศึกเลือกตั้ง-ฆ่าขุนพล
อุตตม-สนธิรัตน์ อดีตแกนนำกลุ่มสี่กุมาร แม้มีที่ยืนในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ไม่มีที่ยืนในทางการเมือง
การกลับพรรคพลังประชารัฐของนายอุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและอดีตหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐและอดีตเลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย
อดีต 2 กุมาร มีราคาค่างวดที่ต้องจ่ายไปมหาศาลและอาจจะถึงขั้น “ติดลบ”
ไม่ใช่ความผิดพลาดในเชิงกลยุทธ์-วิธีคิดและอุดมในการทำพรรคสร้างอนาคตไทยให้เป็นสถานทางการเมือง-ที่พึ่งของประชาชน แต่เป็นการชิงสุกก่อนหามของคนเพียงไม่กี่คนสามารถกำหนดทิศทางของพรรค
แก่นแกนของพรรคสร้างอนาคตไทย ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เปรียบเสมือนเป็นผู้นำจิตวิญญาณของพรรค 3 เงื่อนไข
ข้อที่ 1 สร้างพรรคการเมืองที่ดี ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ นโยบาย เป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เกาะเกี่ยวกับภาคประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดวาระสำคัญของพรรค ไม่ว่าในสภาหรือนอกสภา
ข้อที่ 2 ข้าไปกอบกู้เศรษฐกิจที่ผมเสนอเอาไว้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และข้อที่ 3 ทั้งหมดเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้เพราะการเมือง ประชาธิปไตยเป็นสิ่งดีที่สุดแล้ว แต่กระบวนการประชาธิปไตยไม่ได้เป็นอย่างที่เราวาดฝันไว้
เงื่อนไข 3 ข้อในวันที่นายสมคิดตกปากรับคำนั่งเป็นประธานพรรคสร้างอนาคตไทย นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ ได้พับเก็บใส่ลิ้นชัก-วางขึ้นหิ้ง
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจที่ถูกเขียนด้วยมือชูเป็น “จุดแข็ง” ของพรรคสร้างอนาคตไทยที่ชูเป็นจุดแข็งถูกลบด้วยเท้า อาทิ กองทุนสร้างอนาคตไทย 3 แสนล้านบาท
กำจัดยาเสพติด ล้างบางผู้ค้าภายใน 1 ปี รักษาผู้ป่วย 1 อำเภอ 1 ศูนย์บำบัด 1 จังหวัด 1 ศูนย์รักษา พักหนี้เบ็ดเสร็จ 5 ปี กองทุนสำรองสะสมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
วิสาหกิจหมู่บ้าน (village enterprise) หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท 75,032 หมู่บ้าน ฝากครรภ์ฟรี คลอดฟรี รัฐร่วมเลี้ยงดูในวัยทารก วัยเด็ก ให้การศึกษาฟรีถึงระดับอุดมศึกษา
ปุ๋ยคนละครึ่ง ออก e-coupon ใส่เป๋าตังให้เกษตรกร เป็นงบประมาณปีแรก 30,000 ล้านบาท ให้บริษัท ปตท. จัดตั้งบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ เพื่อลดการนำเข้าแม่ปุ๋ยจากต่างประเทศ 70,000 ล้านบาทต่อปี ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยท้องถิ่นและภาคเอกชนที่สนใจ ทำวิจัยและพัฒนาโครงการปุ๋ยอินทรีย์ชุมชน กองทุนมวยไทย
ยืดอายุเกษียณราชการ จาก 60 ปีเป็น 65 ปี ตามความสมัครใจ จูงใจภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุให้หักค่าจ้างเป็นค่ายใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า แผงพลังงานแสงอาทิตย์ทุกครัวเรือน Solar Farm
1 หมู่บ้าน 1 hotspot ศาสนสถาน โรงเรียน จัดสรรงบประมาณประจำปีแต่ละปีเพื่อลงทุนในทุนมนุษย์เป็นร้อยละ 2 ประกบคู่พี่เลี้ยงแก้ปัญหาความยากจน 5 แสนครอบครัว ภายใน 5 ปี
เปลี่ยนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นเงินออม เพิ่มศักยภาพกทม.ให้เป็น “มหานครกรุงเทพ” เลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แก้รัฐธรรมนูญ
เบื้องลึก-เบื้องหลังการเจรจาของพรรคสร้างอนาคตไทยกับพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ล่มไม่เป็นกระบวนท่า คือ แกนนำทั้งสองพรรคไม่สามารถตกลงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคได้
ยิ่งสมการทางการเมืองหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งสองพรรคไม่ว่าใครจะต้องเป็นฝ่ายเดินไปรวมพรรคย่อมได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เพราะคีย์แมนพรรคไทยสร้างไทยและสร้างอนาคตไทย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทย-พลังประชารัฐ
คุณหญิงสุดารัตน์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย รู้จักกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านตัวกลางอย่าง “พล.อ.นพดล อินทปัญญา” สมาชิกวุฒิสภาและเพื่อร่วมรุ่นเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 (ตท.6)
ขณะที่นายอุตตมกับนายสนธิรัตน์ก็เคยเป็นผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่มีนายสมคิดเป็นที่ปรึกษาทางใจ ที่สำคัญทั้งคุณหญิงสุดารัตน์และนายสมคิดเป็นศิษย์เก่าพรรคไทยรักไทย ที่มี “โทนี่ วู้ดซัม” เป็นหัวหน้าพรรค
ไม่ว่าพรรคการเมืองขั้วพรรคเพื่อไทย หรือ ขั้วพรรคพลังประชารัฐจะได้เป็นรัฐบาล ก็ย่อมได้ร่วมรัฐบาล ดังนั้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเป็นเครื่องการันตีเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลหน้า
เมื่อแกนนำของพรรคไทยสร้างไทยและสร้างอนาคตไม่ตกลงกันไม่ได้ ทำให้นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ต้องกลับไปพรรคพลังประชารัฐเพื่อพึ่งบารมีของพล.อ.ประวิตร ให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรี
แต่อย่าลืมว่า วีรกรรมของกลุ่ม-ก็วนในพรรคพลังประชารัฐโหด-เลือดเย็น ซึ่งนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ก็เคยลิ้มรสชาติของการถูกขับออก จนไม่มีที่ยืนในพรรคและในคณะรัฐมานตรีมาแล้ว
การหันหลังให้พรรคสร้างอนาคตไทย กลับไปพรรคพลังประชารัฐของนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ครั้งนี้ จึงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและเส้นทางเก้าอี้รัฐมนตรีเต็มไปด้วยพงหนาม
แน่นอนว่าในช่วงฮานีมูนพีเรียด-ก่อนเลือกตั้ง นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ย่อมถูกยกย่องว่าเป็นมือเศรษฐกิจ-จิ๊กซอว์สำคัญของพรรคพลังประชารัฐที่จะมาเติมเต็มความฝันของพล.อ.ประวิตรให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
แต่หลังจากนั้น ไม่มีอะไรการันตีว่า นายอุตตมหรือนายสนธิรัตน์ แม้แต่นายสมคิด ที่คอยให้คำปรึกษาอยู่หลังม่าน-เหยียบเมฆไร้ร่องรอย จะได้เป็นผู้ครอบครองสัดส่วนโควตารัฐมนตรี
การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2562 ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พล.อ.ประวิตร ซึ่งขณะนั้นสวมบทเป็นผู้จัดการรัฐบาลยอมยกทุกเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอให้กับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย เพื่อรวบรวมเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องสุดที่รัก เป็นนายกรัฐมนตรี
หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พล.อ.ประวิตร พี่ชายที่แสนดี ที่ประกาศ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” และเสนอตัวพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ย่อมยอมแลกกับทุกเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับทุกพรรคการเมือง
มิหนำซ้ำนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ต้องมาแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรีกับกลุ่ม-ก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงลูกหาบ-ลูกน้องของพล.อ.ประวิตร ในมูลนิธิบ้านป่ารอยต่อ
หนังม้วนเดิม-ฉากเก่าจะกลับมาฉายอีกครั้ง เสร็จนาฆ่าโคถึก-เสร็จศึกเลือกตั้งฆ่าขุนพล
ปัจจุบันนายอุตตมและนายสนธิรัตน์เป็นเพียงสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และได้รับบทบาท-หน้าที่ที่พล.อ.ประวิตรอุปโลกให้เป็นทีมเศรษฐกิจ-การเมือง และไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เปรียบเสมือนคนขาลอย
นายอุตตมและนายสนธิรัตน์อาจจะได้ออปชั่นจากการพล.อ.ประวิตรให้อยู่ในบัญชี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน แต่จะอยู่ในอันดับ “เลขตัวเดียว” หรือไม่ ไม่มีใครบอกได้จนถึงวันสมัครกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่มัดมือชกพล.อ.ประวิตรในวันเปิดตัว ขอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ แต่สุดท้ายก็ถูกบริวารหัวหน้าบ้านป่ารอยต่อตลบหลังเป็นกรณีตัวอย่าง
ต้นทุนทางการเมืองที่นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ทิ้งไว้ที่พรรคสร้างอนาคตไทยย่อมได้ไม่คุ้มเสีย-เครดิตติดลบ และจะลามทุ่งไปถึงนายสมคิด ยกเว้นเสียแต่ว่า ไม่มีอะไรจะเสีย