ส่องโครงการ ‘เมืองอัจฉริยะ EEC’ ทุ่ม 1.34 ล้านล้านบาท

การดำเนินการของโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีในเรื่องของการเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ได้เอกชนผู้ประมูลก่อสร้างโครงการ และการดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมามีการลงทุนสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท

และได้วางเป้าหมายในการส่งเสริมการลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า (2566-70) ให้ได้ 2.2 ล้านล้านบาท (2566-70) โดยจะมีเงินลงทุนประมาณปีละ 4 – 5 แสนล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจใน EEC ขยายตัวได้ 7-9% ต่อปี และช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวได้ประมาณ 5% นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
นอกจากการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมสมบูรณ์ และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในสาขาอุตสาหกรรมสำคัญที่ประเทศไทยต้องการให้เกิดการลงทุน ภารกิจอีกด้านของอีอีซีคือการสร้างระบบนิเวศน์ (Ecosystem) และสภาพแวดล้อมใน EEC ให้น่าอยู่ เป็นเมืองที่นักลงทุน นักธุรกิจ แรงงานที่มีความสามารถสูง สามารถที่จะเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกสบายเพื่อช่วยสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการดึงดูดให้แรงงานทักษะสูง (Talent) จากต่างประเทศในกลุ่มอาชีพต่างๆเดินทางเข้ามาทำงานและใช้ชีวิตในพื้นที่นี้มากขึ้น
ศูนย์ธุรกิจ และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะดึงแรงงานทักษะสูงสู่ EEC

จากเป้าหมายการทำงานของอีอีซีในเรื่องนี้รัฐบาลได้อนุมัติ “โครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ” โดยโครงการนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ท จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบและรับทราบความคืบหน้าของโครงการนี้แล้ว โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนของโครงการนี้มีมูลค่าสูงถึง 1.34 ล้านล้านบาท โดยเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า รวมทั้งมีการตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้เมืองนี้เป็นเมืองน่าอยู่ที่ติด 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่ของโลกภายในปี 2580 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจ เมืองน่าอยู่ที่ติดอันดับโลก
โดยโครงการนี้มีขนาด 14,619 ไร่ โดยก่อนหน้านี้ ครม.เห็นชอบให้เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินของ ส.ป.ก.ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยพื้นที่ของเมืองอัจฉริยะใน EEC ห่างจากท่าอากาศยานอู่ตะเภา 15 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ 160กิโลเมตร มีระยะการพัฒนา 10 ปี ระหว่างปี 2565-2575 โดยได้มีการจัดทำแผนแม่บทแล้วเสร็จกำหนดระยะเวลาพัฒนาโครงการ 20 ปีแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก 5,700 ไร่ ระยะที่สอง 4,000 ไร่ และระยะสุดท้าย 4,919 ไร่
ตั้งเป้าติด Top 10 เมืองน่าอยู่โลกปี 2580

ทั้งนี้เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ EEC เกิดขึ้นจากนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาคมาตรฐานเทียบเท่าสากลในพื้นที่อีอีซี และให้เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 เมืองของโลกในปี 2580 เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะต้นแบบสำหรับการพัฒนาเมืองใหม่ทั่วประเทศไทย
โดย สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ประเมินว่าโครงการนี้จะสร้างงาน 200,000 ตำแหน่ง ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,340,468 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนการลงทุนของรัฐ 2.8% หรือ 37,674 ล้านบาท เป็นส่วนของค่าที่ดิน ปรับพื้นที่เมืองโครงสร้างพื้นฐานในเมือง นอกเมือง ส่วนร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน(พีพีพี) 9.7%หรือประมาณ 131,119 ล้านบาท เป็นค่าสาธารณูปโภคในระบบขนส่งธารณะ ระบบดิจิทัล และเอกชนลงทุน 87.5% หรือประมาณ 1,180,808 ล้านบาท สำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์
แบ่ง 5 โซนดึงดูดธุรกิจเมกะเทรนด์ลงทุนตามแผนแม่บทพัฒนาโครงการ จะแบ่งโซนตามธุรกิจเป้าหมายเป็น 5 โซน ประกอบด้วย
1.ศูนย์กลางการเงิน ประกอบด้วยธุรกิจการเงินและตลาดทุน สนับสนุนการลงทุน Fintech และGreen Bond
2.สำนักงานภูมิภาค RHQ/ศูนย์ราชการ เช่น สำนักงานภูมิภาคของธุรกิจไทย ที่มีธุรกิจในอีอีซีและสถานที่ราชการที่สำคัญ
3.ศูนย์การแพทย์แม่นยำ และการแพทย์เพื่อนาคต เพื่อเป็นที่ตั้งของธุรกิจที่เป็นการร่วมทุนกับโรงพยาบาลชั้นนำของโลก ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการตั้งถิ่นฐานของนักธุรกิจ นักลงทุนที่จะต้องมีโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยในพื้นที่
และ 4.การศึกษา วิจัย และพัฒนา เป็นพื้นที่สำหรับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทยเพื่อการสนับสนุนธุรกิจเฉพาะด้าน การวิจัยพัฒนาเพื่อธุรกิจเฉพาะด้าน
และ 5.ธุรกิจเฉพาะด้าน เช่น พลังงานสะอาด ธุรกิจ Digitizationและ5G กลุ่มโลจิสติกส์และวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นต้น
ใช้กฎหมาย EEC จัดสรรที่ดินในพื้นที่ ส.ป.ก.
โดยการดำเนินการเรื่องการจัดสรรที่ดิน เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 มาตรา 36 ที่บัญญัติให้คณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) โดยความเห็นชอบของ ครม. มีอำนาจให้ สกพอ. เข้าใช้ประโยชน์ของ ส.ป.ก..เพื่อดำเนินการอื่นใดนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ และได้อนุมัติร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่สำนักงานคระกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเข้าใช้ประโยชน์ พ.ศ…. เพื่อให้ สกพอ.และส.ป.ก. ดำเนินจ่ายค่าชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินของ ส.ป.ก. ต่อไป
โดยมีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 15,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 จำนวน 4,000 ล้านบาท รวม 19,000 ล้านบาท จะแยกเป็น ค่าชดเชยที่ดิน 10,000 ล้านบาท โครงการจ้างที่ปรึกษาออกแบบขั้นรายละเอียดและจัดทำรายละเอียดการให้เอกชนร่วมลงทุน(พีพีพี) 1,000 ล้านบาท โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน(พีพีพี) 200 ล้านบาท และโครงการปรับพื้นที่และก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลาง 7,800 ล้านบาท
เตรียมจ้างที่ปรึกษาออกแบบผังเมืองใหม่ใน 18 เดือน

นางสาวพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนโยบายและแผน สำนักงาน สกพอ.กล่าวว่า ส.ป.ก. ได้ดำเนินการจ่ายค่าชดเชยให้เกษตรกรผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ในระยะแรกแล้วทั้งสิ้น 2,483 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเตรียมที่ดินในเฟสแรกให้พร้อมได้ใน 5 ปีข้างหน้า และเริ่มให้เอกชนเข้ามาร่วงลงทุนและพัฒนาพื้นที่ได้ในปี 2567 โดยภายในไตรมาสแรกปี 2566 สกพอ. จะเริ่มดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเมืองอัจฉริยะระดับโลก ที่มีประสบการณ์พัฒนาสมาร์ตซิตี้ให้สำเร็จทั้งในเกาหลี ซาอุดิอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อออกแบบผังและจัดโซนของโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ รวมทั้งวิเคราะห์ธุรกิจที่เหมาะสมที่จะเข้ามาลงทุนในพื้น โดยกำหนดให้ทำการศึกษาแล้วเสร็จใน 18 เดือน
สำหรับโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะในการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาคมาตรฐานเทียบเท่าสากลในอีอีซี เพื่อให้เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 เมืองของโลกในปี 2580กำหนดให้รัฐเป็นเจ้าของและผู้บริหารพื้นที่ โดยเปิดโอกาสให้รัฐวิสาหกิจและเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP
โดยเมื่อเมืองใหม่แห่งนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถรองรับประชากรได้ 350,000 คนรวมทั้งสร้างงานทางตรงไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2575 สร้างมูลค่าการจ้างงานกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เป็นที่ตั้งของธุรกิจสตาร์ทอัพประมาณ 150-300 กิจการและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางแศรษฐกิจของประเทศและผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นได้อีกกว่า2 ล้านล้านบาท