อนาคต “ประยุทธ์” หลังเอเปค พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ
การเมืองหลังเอเปค ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2565 เป็นต้นไป ถนนทุกสายมุ่งสู่สนามหญ้า หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
รูดม่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดงานเอเปค ครั้งที่ 29 ที่กรุงเทพ ฯ สลับฉากบู๊สาดกระสุนยาง-เลือดตกยางออกของกลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค” ที่ถนนดินสอ
ซีนต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นตัวแสดงหลัก เพราะต้องเข้าฉากสำคัญ ไม่มีตัวแสดงแทน ในการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อประกาศอนาคตทางการเมืองของตัวเอง
มีพรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรค พร้อมจะเป็นนั่งร้านให้พล.อ.ประยุทธ์ได้ขึ้นเวทีแสดงต่อในบทบาทนายกรัฐมนตรี แม้จะรู้ตอนจบของเรื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า
หนึ่ง พรรคพลังประชารัฐที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้สังกัดเป็นสมาชิกพรรค ไม่มีตำแหน่งในบอร์ดบริหาร แต่อยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่สุด คือ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชายที่แสนดี เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
แคมเปญ “รักความสงบจบที่ลุงตู่” ปลุกปรากฎการณ์ “ทหารแก่ไม่มีวันตาย” ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 สมคบคิดทางอำนาจกับ 250 ส.ว. ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐ ปาดหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลในที่สุด
ไทม์ไลน์ในการปิดดีล พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนจะตอบรับเทียบเชิญเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ถึงวันเลือกตั้งใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองไทยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
วันที่ 1 ก.พ. 2562 อดีตรัฐมนตรี 4 แกนนำกลุ่มสี่กุมาร นำโดยนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เดินเท้าไปเทียบเชิญพล.อ.ประยุทธ์ให้มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถึงหน้าประตูตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
วันที่ 8 ก.พ. 2562 – วันสุดท้ายที่พรรคการเมืองต้องส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ออกแถลงการณ์ตอบรับคำเชิญเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรคพลังประชารัฐ
วันที่ 22 มี.ค. 2562 ก่อนวันเลือกตั้งเพียง 2 วัน พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากทำเนียบรัฐบาลไปเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐบนเวทีปราศรัยต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ที่สนามกีฬาเทพหัสดิน
วันที่ 24 มี.ค. 2562 พรรคพลังประชารัฐ สามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.ได้มากถึง 119 ที่นั่ง โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ และจังหวัดกรุงเทพมหานครที่ตอบรับกระแสพล.อ.ประยุทธ์ถล่มทลาย
พรรคที่สอง หวังลึก ๆ ว่าจะสร้างประวัติศาสตร์ให้ซ้ำรอยพรรคพลังประชารัฐ ที่มี อดีต ส.ส.- รัฐมนตรีต่างพรรค-ต่างยุครัฐบาล และนักการเมืองบ้านใหญ่ ตบเท้าเข้าพรรคมืดฟ้ามัวดิน คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ
พรรครวมไทยสร้างชาติ เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ บิ๊ก ต. – พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้” เป็นหนังหน้าไฟ
วันที่ 3 ส.ค. 2565 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรครวมไทยสร้างชาติเลือกพีระพันธุ์ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมี ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ลูกของภรรยาลุงกำนัน เลขาธิการพรรค
นับตั้งแต่นั้นกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมย้ายวิกมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เริ่มหนาหูขึ้น
พีระพันธุ์ สวมหมวกที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมีห้องทำงานบนตึกบัญชาการ 1 เดินเข้า-เดินออกทำเนียบรัฐบาล เดินขึ้น-เดินลงตึกไทยคู่ฟ้า เข้านอก-ออกใน ห้องทำงานพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้คำปรึกษาปัญหาการบ้าน-ปัญหาการเมืองได้ทุกเวลา
อดีตผู้ท้าชิงเก้าอี้หัวหน้าประชาธิปัตย์แบ่งรับ-แบ่งสู้ที่จะส่งเทียบเชิญถึงโต๊ะทำงานพล.อ.ประยุทธ์ แต่หลังจากเป็นเจ้าภาพจัดงานเอเปคจะถือโอกาสทาบทาม-เปิดตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อขอพิจารณา
พล.อ.ประยุทธ์เดินมาถึงทางสองแพร่งต้องเลือก ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับ พรรครวมไทยสร้างชาติได้
พรรคพลังประชารัฐ เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขายไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า และเหลือวาระนายกรัฐมนตรีอีกเพียง 2 ปี จึงเตรียมแผนสำรอง เปิดตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 2 ให้กับพล.อ.ประวิตร
หากยังขืนแบกพล.อ.ประยุทธ์ต่อไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยไม่มี นายกฯสำรอง อาจจะเป็นภาระกลางทาง ช่องว่างรอยต่อระหว่างวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีก 2 ปีที่เหลือ
พรรครวมไทยสร้างชาติมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังขายได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ จึงต้องการกระแสลุงตู่ มาเป็นแม่เหล็กดูดนักการเมืองระดับชาติ-นักการเมืองท้องถิ่นเข้าพรรค
“สันติ กีระนันทน์” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและอดีต กก.บห. พรรคพลังประชารัฐ เล่าเบื้องหลัง “อำนาจลึกลับ” ในการเสนอพล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงชื่อเดียว ทั้งที่สามารถเสนอได้ถึง 3 รายชื่อว่า
“จำได้ว่า ตอนที่กรรมการบริหาร พปชร. มีมติให้เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น candidate นายกฯ นั้น ก็มีมติให้เสนอ อ.สมคิด และ อ.อุตตม เป็น candidate นายกฯ รวมเป็น 3 ชื่อ …
แต่หลังจากนั้น ก็มีอำนาจลึกลับให้กรรมการบริหาร เปลี่ยนมติใหม่ ให้เสนอชื่อ พลเอกประยุทธ์เพียงชื่อเดียวเท่านั้น … และนั่น ก็เป็นบทเรียนสำคัญทางการเมืองอีกบทหนึ่งของผม”รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยคนปัจจุบันระบุ
พรรคของนายพีระพันธุ์จึงตอบโจทย์พล.อ.ประยุทธ์มากที่สุด เพราะไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 2 และเบอร์ 3 มาเบียดบังรัศมีก็เป็นได้
มีข้อมูลใหม่ที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะยังอยู่-ไม่อยู่พรรคใหญ่-พลังประชารัฐพรรคเดิม หรือ พรรคใหม่-รวมไทยสร้างชาติ ที่ยังไม่มี ส.ส.แม้แต่คนเดียว
คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
ต้องลุ้นกันโค้งสุดท้ายว่า กติกาเลือกตั้งบัตรสองใบ หารด้วย 100 จะยูเทิร์นกลับไปหาร 500 หรือไม่ เพราะจะทำให้ความได้เปรียบกลับไปอยู่ที่พรรคเล็ก-พรรคใหม่ทันที
การเลือกตั้งปี 66 กกต.กางพิมพ์เขียว-กาปฏิทินวันหย่อนบัตรไว้วันที่ 7 พ.ค. 2566 กว่าจะถึงวันครบวาระ 23 มี.ค. 2566 – วันสุดท้ายของการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ยังมีโอกาสตัดสินใจอีกนานโข