หม่อมอุ๋ย ศัตรูของศัตรูคือมิตร บิ๊กป้อม

ชื่อ หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ถูกพรรคพลังประชารัฐโยนขึ้นมาถามทาง เปิดตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พ่วงออปชั่นพิเศษ เสียบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์สาม มีความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้

เป็นไปได้ เพราะ หม่อมอุ๋ย เป็น เพื่อนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนเดียวกันกับ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
หม่อมอุ๋ย เจ้าของรหัส SG 6268 โดยมี บิ๊กป้อม เป็น เจ้าของรหัสรุ่นพี่ SG 5534 ประสานกับนักการเมืองและนายทหารระดับสูงในระนาบศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล จึงเป็นคุณสมบัติที่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
หม่อมอุ๋ย เป็น หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ครม.) – ครม.ประยุทธ์ 1 จากการที่ บิ๊กป้อม ใช้ความเป็นเซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น ดึงเข้ามาร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 1 ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ

ก่อนถูกดึงมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ หม่อมอุ๋ย เป็น ที่ปรึกษา คสช. ที่มี บิ๊กป้อม เป็นประธานคณะที่ปรึกษาคสช.
หม่อมอุ๋ย เป็น เสือคนละถ้ำ กับ เฮียกวง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสร้างอนาคตไทย คู่แข่งทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยตรง
หม่อมอุ๋ย ถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยให้นายสมคิด นั่งที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทน ซึ่งขณะนั้นนายสมคิด เป็นกุนซือเศรษฐกิจ ในคณะที่ปรึกษา คสช. เช่นเดียวกัน
หม่อมอุ๋ย เป็นรองนายกรัฐมนตรี ที่มีการบริหารนโยบายเศรษฐกิจแบบ conservative ขับเคลื่อนตามกลไกลจีดีพี ยึดขนบธรรมเนียมจารีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนที่ 17 อย่างเคร่งครัด
ตรงกันข้ามกับนายสมคิด ที่มีสไตล์การบริหารเศรษฐกิจตามแบบฉบับประชานิยม พุ่งเป้าเศรษฐกิจชนชั้นรากหญ้า
หม่อมอุ๋ย คือ พยายานปากเอก ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายปัฐวาท สุขศรีสมวงศ์ ในคดีนาฬิกายืมเพื่อน สมัยเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล
แม้คดีนาฬิกายืมเพื่อน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะไม่ชี้มูลความผิด แต่ในชั้นการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ส่อเค้าว่าคดีอาจพลิก
บิ๊กป้อม จึงต้องทอดไมตรีกับ หม่อมอุ๋ย
เป็นไปไม่ได้ เพราะ หม่อมอุ๋ย เป็นศัตรูกับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่วินาทีที่ลาออกจากรองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หลังจากกุมบังเหียนเศรษฐกิจรัฐนาวาเรือแป๊ะได้เพียง 1 ปี
“ถึงจะทาบทามผมก็ไม่รับ (ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี) เพราะผมไม่เห็นด้วยกับหลักแบ่งแยกและปกครอง อย่าตั้งที่ปรึกษามาคอยจับผิด”หม่อมอุ๋ยตั้งโต๊ะแถลงข่าวลาออกและไม่รับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ หม่อมอุ๋ย ถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และลดชั้นไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คือ “คลิปเสียง” ที่ดั่งกระหึ่มโลกโซเชียลวิจารณ์ความรู้และความสามารถของพล.อ.ประยุทธ์ ว่า ไม่รู้และไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจแต่ตอบคำถามนักข่าวทุกเรื่อง
หลังจาก หม่อมอุ๋ยและพรรคพวกถูก “เชิญออก” เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2558 ได้กลายเป็นหอกข้างแคร่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และคสช.ตลอดมา
ในปี 2560 หม่อมอุ๋ย ได้ออกมาคัดค้านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม หลังจากพบความไม่ชอบมาพากล สอดไส้ “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ”
หม่อมอุ๋ย ส่งหนังสือเปิดผนึกถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ โทรทัศน์ทุกช่องร่วมเป็นสักขีพยาน กระจายไปยังสื่อโซเซียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มให้ไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าคสช.ขณะนั้น
สุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์ต้องสั่งถอยและสนช.ตัดการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติออกจากพ.ร.บ.ปิโตรเลียม

ปลายปี 2560 หม่อมอุ๋ย ส่งหนังสือไปถึงประธานกรรมาธิการ สนช.ชี้ให้เห็นถึงการ “ยัดไส้” การอนุญาตให้คนต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินไว้ในพ.ร.บ.อีอีซี และจบลงด้วยการตัดคำว่า “ผู้อยู่อาศัยออกจากทุกแห่งในกฎหมายนั้น”(ข้อมูลจากหนังสือ “ในหนึ่งแผ่นดิน” : ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล)
ปลายปี 2561 หม่อมอุ๋ย เผยแพร่บทความ ภายใต้หัวข้อเรื่อง “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก” ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562
ข้อแรก ระยะเวลา 3 ปีหลังของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กระทำการขาดวินัยทางการคลังอยู่ตลอดเวลา งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ขาดดุลเพิ่มสูงขึ้น เมื่อขาดดุลประจำปีเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว ใช้วิธีอนุมัติงบประมาณผูกพันในอนาคต
เท่ากับนำเงินรายได้ในอนาคตมารองรับโครงการจ่ายเงินที่อนุมัติในวันนี้ จนถึงปีงบประมาณปัจจุบันมีการผูกพันงบประมาณในระยะ 5 ปีข้างหน้าถึง 1.178 ล้านล้านบาท เป็นจำนวนเงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
“หากพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ย่อมจะเลือกบุคคลที่โอนอ่อนผ่อนตามคำสั่งของตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง งบประมาณคงจะขาดดุลเพิ่มขึ้นและผูกพันมากขึ้น หนี้สินก็จะพอกพูนขึ้นจนทำให้ฐานะการคลังประเทศอ่อนแอลง”
ข้อที่สอง พล.อ.ประยุทธ์และเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คน ร่วมกันกระทำการไม่โปร่งใส แอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ด้วยวิธีการรวมหัวกันเพิ่มบทบัญญัติในการพิจารณาพ.ร.บ.ปิโตรเลียม วาระสอง ของกมธ.วิสามัญ ฯ สนช.

เป็นการร่วมมือกันระหว่างกมธ.วิสามัญ ประกอบด้วยนายทหารเสียงข้างมาก กับรัฐบาลซึ่งแอบมีมติลับให้เพิ่มบทบัญญัติโดยให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ กรมพลังงานทหารบริหารไปก่อน
“แม้ สนช.จะหยุดยั้งแล้ว แต่กลุ่มบุคคลที่ต้นคิดเรื่องนี้ไม่หยุดยั้ง บุคคลกลุ่มนี้สนิทสนมกับพล.อ.ประยุทธ์มาก หากพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง เมื่อมีพลังทางการเมืองเพิ่มขึ้นแล้วก็อาจจะผลักกันเรื่องนี้จนเป็นผลสำเร็จ”
ข้อที่สาม ในอนาคตรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินนโยบายเอาใจจีนมากกว่าประเทศมหามิตรอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา อียู และญี่ปุ่น อย่างไม่สมดุลเอาเสียเลย
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ต้องการเอาใจจีนเป็นพิเศษ โดยการสอดไส้พ.ร.บ.อีอีซี เปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในไทยได้โดยง่าย
“หากพล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เมื่อมีอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ก็อาจยินยอมให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.อีอีซี ให้เพิ่มเรื่องอนุญาตให้นำผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินได้อีก”
ข้อที่สี่ 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์และคสช. กระทำการหลายอย่างเป็นประจำที่ทำให้คนไทยเห็นว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน และยังพยายามให้เห็นว่าทหารคือฝ่ายปกครองในขณะที่พลเรือนคือผู้ถูกปกครอง
“ความรู้สึกที่ว่า เมื่อนานไปมีผลให้ประชาชนไม่ชอบทหารมากขึ้นทุกที ความรู้สึกไม่พอใจทหารในขณะนี้ไม่ต่างจากช่วงเวลา พ.ศ.2510 ถึง พ.ศ.2516 หากปล่อยให้สะสมมากขึ้นต่อไปอาจจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองได้”
ข้อที่ห้า 1 ปีที่ผมทำงานกับพล.อ.ประยุทธ์ ได้เห็นพล.อ.ประยุทธ์สนิทสนมและใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย ตามมาด้วยการตั้งให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเข้าไปนั่งในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และยังเคยเชิญนักธุรกิจคนหนึ่งเข้าไปร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุมครม.ด้วย
นอกจากนี้ยังเคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กลุ่มธุรกิจกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน โดยไม่ต้องมีการประมูล เคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กรมธนารักษ์ให้เช่าที่ดินในเขตทหารบริเวณกาญจนบุรีให้เอกชนรายหนึ่งเช่าโดยให้คิดค่าเช่าในราคาถูก
“ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยเข้าใจนัยสำคัญของเรื่องนี้”
ข้อที่หก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องเพราะกลัวเสียคะแนนนิยม รัฐมนตรีที่เคยร่วมงานในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ สามารถเป็นพยานได้ว่า เมื่อมีเรื่องใดที่รัฐบาลต้องอนุมัติเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อปฏิรูป หากมีผู้ออกความเห็นคัดค้านในโซเซียลมีเดียบ่อย ๆ พล.อ.ประยุทธ์ก็สั่งห้ถอยเสมอ
“บุคคลที่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวเสียคะแนนนิยมเช่นนี้ หากได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปเรื่องต่าง ๆ ที่เตรียมกันไว้ก็จะเดินหน้าต่อไปได้ยาก ถ้าขาดความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อความถูกต้องการปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้น”
ข้อที่เจ็ด ในปี 2558 ไทยเป็นประธานประชุมประเทศกำลังพัฒนา G77 ของสหประชาชาติที่สิงคโปร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยกร่างสุนทรพจน์ให้พล.อ.ประยุทธ์พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่พล.อ.ประยุทธ์ได้หันไปพูดนอกบทด่าทอสื่อมวลชน นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และนักวิชาการในประเทศ อันเป็นการด่าคนไทยด้วยกันเองให้ต่างชาติฟัง

นอกจากนี้ เมื่อคราวที่พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพบนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนไทยได้รับรู้ความสามารถในการเจรจากับบุคคลระดับผู้นำประเทศ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์เป็นไก่รองบ่อนอย่างเห็นได้ชัด
“หากพล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปีหน้า ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมผู้นำอาเซียน ด้วย ก็มีโอกาสที่คนไทยต้องอับอายขายหน้าอีกครั้ง เพราะพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์”
ข้อสุดท้าย ระยะเวลา 4 ปีผ่านมา นักข่าวมีโอกาสได้ฟังพล.อ.ประยุทธ์แถลงข่าวทุกวันประชุมครม. ทุกคนได้เห็นถึงการพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว มีลักษณะก้าวร้าวและบางครั้งใช้คำหยาบคาย ไม่คิดว่าจะออกจากปากของคนที่เป็นนายกฯของประเทศ ซึ่งอาจกลายเป็นตัวอย่างที่เยาวชนจะทำตาม การพูดคำรวบของพล.อ.ประยุทธ์บ่อย ๆ จนอาจทำให้ภาษาวิบัติได้
“ผมจึงไม่ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเลย”
หม่อมอุ๋ย จึงเป็น ศัตรู (บิ๊กตู่) ของศัตรู (สมคิด) คือ มิตรของ บิ๊กป้อม