2 ส.รวมพรรค ต่อขาเก้าอี้ชิงนายกรัฐมนตรี
สุภาษิต เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ อาจใช้ไม่ได้กับ ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับ ส.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
กระแสข่าว 2 ส. รวมพรรค-พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ของนายสมคิด ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย กับพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ของคุณหญิงสุดารัตน์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีที่มา-ที่ไป
ที่มาจากการครุ่นคิดก่อตั้งพรรคใหม่ของอดีตแกนนำ 4 กุมาร นายอุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
นายอุตตมกับนายสนธิรัตน์เปิดดีล รวมคนเก่ง-คนดีมาควบรวมเป็นพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งมีพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์บนโต๊ะเจรจา โดยมีนายสมคิดเป็นดีลเมเกอร์
อย่างไรก็ตามความไม่ลงล็อก-ไม่ลงตัวในตำแหน่งสำคัญทำให้ดีลล่ม ต่างคนต่างพรรคจึงแยกทางทำพรรคสร้างอนาคตไทย-พรรคไทยสร้างไทยบนเส้นทางคู่ขนาน
หากฟังความ 2 ข้าง ระหว่างพรรคสร้างอนาคตไทยกับพรรคไทยสร้างไทยถึงโอกาสในการรวมพรรคยังแบ่งรับ-แบ่งสู้
นายสมคิด ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย แทงกั๊ก โดยระบุว่า ตอนนี้พรรคสร้างอนาคตไทยยังไม่คิดรวมกันใคร แต่ถ้าจะรวมกันในอนาคตก็ขึ้นอยู่ที่ว่า ความคิดเหมือนกันไหม อุดมการณ์ตรงกัรหรือเปล่า ไปด้วยกันได้ไหมเรื่องนโยบาย ถ้ารวมกันแล้วนโยบายไปได้ เหมือนกัน รวมกันแล้วดีกว่าไม่ดี ก็เป็นอีกผลหนึ่ง เป็นเรื่องของอนาคต
“ส.สมคิดเป็นเพียงประธานพรรค ต้องถามอุตม (หัวหน้าพรรค) กับคุณหญิงสุดารัตน์ ก็พูดจาภาษาเดียวกันนะ นโยบายพรรคมีอยู่แล้ว ถ้าทุกอย่างเคลียร์กันได้ก็ไปพูดคุยกัน แต่ถ้าไม่เหมือนกันเลย แล้วบอกว่าให้รวมกันเพื่อให้มี ส.ส.มากขึ้น ก็ไม่รู้จะรวมไปเพื่ออะไร อย่าคิดว่า รวมกันแล้วจะมี ส.ส.มากขึ้น จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าการเมืองคิดอย่างนั้น อย่าทำการเมืองดีกว่า ถ้าบอกว่า พรรคนี้รวมกับพรรคนี้แล้วจาก (ส.ส.) 20 (ที่นั่ง) เป็น 40 แรงต่อรองมากขึ้น ไม่ใช่พรรคสร้างอนาคต”
ขณะที่นายอุตตม หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมที่จะจับมือกับพรรคสร้างอนาคตไทยเป็นพรรคพันธมิตร ซึ่งยอมรับว่า การพูดคุยระหว่างพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราพูดคุยกับหลายพรรค นักการเมืองมาแลกเปลี่ยนข้อมูล มาวิเคราะห์กัน โดยเฉพาะสนามเลือกตั้งที่จะมาถึง กฎเกณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคการเมืองมานั่งคุยกัน
“เคมีตรงกันไหม คือ คุยกันด้วยอุดมการณ์อะไร เป้าหมายอะไร ถ้าเป้าหมายคือทำงานร่วมกันก็ต้องพูดให้ชัดว่า ทำงานในรูปไหน มีได้หลายรูปแบบ ใช้คำว่าเป็นพันธมิตรกัน พันธมิตรร่วมอุดมการณ์ ถ้ามีอุดมการณ์เดียวันจึงจะเป็นพันธมิตรกัน ถ้าการเป็นพันธมิตรไม่ว่ารูปแบบไหน วันนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ ยังไม่มีแนวความคิดที่จะไปรวมกับใคร ถ้าเป็นประโยชน์ก็มาหารือกัน เราพร้อมที่จะทำงานเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลหน้า”
ขณะที่ น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ตั้งการ์ดสูง เพราะสุดารัตน์พอจะมีทุนเดิมในกรุงเทพมหานครและจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
“ในบางส่วนที่พี่น้องประชาชนยังสงสัย เพราะคุณสมคิดและองคาพยพเคยเข้าร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ อันนี้ต้องชัดเจน และที่แตกออกมาเป็นเรื่องของผลประโยชน์หรืออุดมการณ์ ถ้าจะไปกันได้ เป็นเรื่องของ 2 ส.นี่แหละ ไปคุยกันเองสองคน ซึ่งไม่ได้ขัดกฎหมายของพรรคการเมือง เราไม่ได้ไปสมยอมกับใคร ในเมื่อกฎหมายบอกให้ควบรวมได้ แต่ทำอยู่ในกรอบ ไม่ทำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เป็นเรื่องของผลประโยชน์ไม่เอา จุดยืนต้องตรงกัน”
หากเทียบจุดร่วมในเรื่องนโยบายของพรรคสร้างอนาคตไทยกับพรรคไทยสร้างไทยแทบจะไม่แตกต่างกัน
พรรคสร้างอนาคตไทย กองทุนสร้างอนาคตไทย วงเงิน 3 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก กองทุนคนตัวเล็ก 1 แสนล้านบาท แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ปรับโครงสร้างหนี้ พักชำระหนี้ 5 ปี ปรับปรุง ปรับเปลี่ยน สร้างอาชีพ เติมทุนใหม่ และ ส่วนที่สอง กองทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างอนาคตประเทศไทย 2 แสนล้านบาท
ตอบโจทย์ที่ 2 เร่ง คือ เร่งแรก เร่งรัดแก้ไขปัญหาหนี้สินทุกประเภท เร่งที่สอง คือ เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีศักยภาพและทันโลก เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
นายสมคิดจัดสรรกองทุน ออกเป็น 2 กอง กองแรก เร่งด่วนเยียวยาผู้ที่ยากลำบาก เช่น ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี
กองสอง ปฏิรูปภาคการเกษตรและภาคท่องเที่ยวให้ถึงรากถึงโคน นำเงินเข้าไปหมุนเวียนในท้องถิ่นทุกจังหวัด ทุกหมู่บ้าน ไม่ต้องผ่านจังหวัด
โครงสร้างเศรษฐกิจหากพรรคสร้างอนาคตไทยเป็นรัฐบาล ประกอบด้วย 5 สร้าง ได้แก่ 1.สร้างเศรษฐกิจฐานราก 2.สร้างภาคเศรษฐกิจใหม่ 3.สร้างสังคมที่เกื้อกูล
4.สร้างคน และโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมก้าวสู่สังคมยุคใหม่ และ 5.สร้างการเมืองที่สร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นแนวทางที่จะรีเซ็ตวิกฤตและสร้างอนาคตของประเทศไทย
พรรคไทยสร้างไทย ที่มี นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ขุนพลเศรษฐกิจข้างกายคุณหญิงสุดารัตน์ เป็นตัวเชื่อมสำคัญ อาทิ บำนาญประชาชน เดือนละ 3,000 บาท เรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ลดเวลาเรียน เพิ่มคุณภาพการศึกษา 30 บาท สุขภาพดีถ้วนหน้า ดูแลคนไทยตั้งแต่เกิดจนแก่
จัดตั้ง 5 กองทุน ได้แก่ 1.กองทุนเอสเอ็มอี เติมทุนให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก ปลดล็อกหนี้เสียของเอสเอ็มอีตัวเล็ก 2.กองทุนสตาร์ทอัพ ช่วยคนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวในโลกยุคใหม่
3.กองทุนฟื้นฟูการท่องเที่ยวและบริการ 4.กองทุนวิสาหกิจชุมชน และ 5.กองทุนเครดิตประชาชน หรือ กองทุนคนตัวเล็ก ช่วยคนตัวเล็กที่ไม่ได้อยู่ในระบบธนาคารสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ หรือ ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อเดือน
สร้างรายได้บนพื้นฐาน 4 ด้าน คือ 1.เป็นศูนย์กลางอาหารคุณภาพของโลก 2.เป็นศูนย์กลางสุขภาพ และ wellness 3.เป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว และ 4.เป็นศูนย์กลางคมนาคมและโลจิสติกส์ของภูมิภาค
เหลือเพียงจุดต่างของอุดมการณ์ เพราะพรรคสร้างอนาคตไทยของนายสมคิดและนายอุตตม-สนธิรัตน์ เคยเป็นนั่งร้านพล.อ.ประยุทธ์ สมัยอยู่พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อกติกาการเลือกตั้งบัตรสองใบ-หารด้วย 100 ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ได้เปรียบพรรคการเมืองเล็กเสียเปรียบ โดยเฉพาะคะแนนบัตรใบที่สอง-ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องได้ 2.5-3 แสนคะแนนขึ้นไปถึงจะได้ 1 ที่นั่ง
ยิ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้พรรคการเมืองที่จะมีสิทธิ์เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาจะต้องมีจำนวน ส.ส.ตั้งแต่ 25 ที่นั่ง จึงเป็นไฟท์บังคับให้พรรคสร้างอนาคตไทยกับพรรคไทยสร้างไทยต้องควบรวมกัน
ยกเว้นเสียแต่ว่า พรรคใดพรรคหนึ่ง มั่นใจในกระแสพรรคของตัวเองพร้อมที่จะบินเดี่ยว
พรรคไทยสร้างไทยยุทธศาสตร์การหาเสียงชัดเจนในการต่อต้านเผด็จการ ไม่สังฆกรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ต้องไปเบียดแข่งกับพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล โอกาสแหกโค้งในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งยังมีสูง
ส่วนพรรคสร้างอนาคตไทยการวางยุทธศาสตร์ไม่มีขั้ว ไม่ซ้าย-ไม่ขวาสุดโต่ง เป็นพรรคสายกลาง ต้องออกแรงมหาศาล ในการปักธง ส.ส.เขต ให้เป็นฐานที่มั่นใหม่
หากไม่สามารถปลุกกระแสพลังเงียบให้มีพลังระดับสึนามิได้ พรรคสร้างอนาคตไทยจะกลายเป็นพรรคทางเลือก ไม่ใช่พรรคทางหลัก ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
พรรคสร้างอนาคตไทยจะไม่ใช่พรรคตัวแปรที่มีอำนาจต่อรอง รัฐบาลใหม่จะมีก็ได้-ไม่มีก็ได้ ไม่เหมือนกับพรคภูมิใจไทย-พรรคประชาธิปัตย์ที่ขาดไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นก้างขวางคอของพรรคสร้างอนาคตไทยกับพรรคไทยสร้างไทยในการกอดคอรวมพรรค เพื่อแก้เกมบัตรเลือกตั้งสองใบ-หารด้วย 100
สำคัญที่สุดของการรวมพรรคเพื่อให้ได้ ส.ส. ครบเกณฑ์ 25 ที่นั่ง ในการเสนอชื่อนายสมคิด-คุณหญิงสุดารัตน์เข้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30