รัฐบาลกางแผนรับวิกฤติน้ำมัน หวั่นสงครามยืดเยื้อเกิน 3 เดือน
แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในสัปดาห์นี้จะมีทิศทางปรับลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีบางช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงในช่วงสั้นๆ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือ (Brent) ปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามแนวโน้มของการเจรจาระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่มีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น และสงครามยังไม่ได้ขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆในยุโรปเหมือนที่หลายฝ่ายมีข้อกังวล
IEA – ไทยออยล์ มองราคาน้ำมันยังทรงตัวระดับสูง
อย่างไรก็ตามนอกจากสถานการณ์ความตรึงเครียดของสองชาติจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวในระดับสูงก็คือความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน และพลังงานในหลายประเทศเพิ่มขึ้น โดยเมื่อสำนักงานพลังงงานสากล (IEA) ระบุว่าอุปทานน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะตรึงตัวไปจนถึงขาดแคลนจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) ยังไม่มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันโดยยังคงการผลิตไว้ที่ 4 แสนบาร์เรลต่อวันทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกกลับไปอยู่ที่ระดับเกิน 100 ดอลลาร์อีกครั้งในวันที่ 18 มี.ค.โดยน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เพิ่มขึ้นรวดเดียว 7.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ก็ปรับเพิ่มขึ้นถึง8.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล บ่งบอกได้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงผันผวน มีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับสูงได้อีกในอนาคต
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกบทวิเคราะห์ สถานการณ์ราคาน้ำมันว่าราคาน้ำมันดิบจะยังทรงตัวในระดับสูง โดยนอกจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากการที่ประเทศเศรษฐกิจสำคัญอย่างจีนที่กลับมาเปิดโรงงานเพิ่มทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมที่มีมาตรการล็อกดาวน์ในโรงงาน ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียจะหายไปกว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นการลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ทั่วโลกจะขาดแคลนอุปทาน 7 แสนบาร์เรลต่อวันในไตรมาสที่สองของปี
กลุ่มโอเปก – นอกโอเปกยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
นอกจากนั้นประเทศอื่นๆที่อยู่นอกกลุ่มประเทศโอเปกได้แก่ แคนาดา และสหรัฐฯ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิต ปัจจุบันเครื่องมือสำคัญในการดูแลราคาพลังงานไม่ให้ประชาชนต้องรับภาระโดยตรงจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันก็คือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กระทรวงพลังงานได้รายงาน ครม.ว่าจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจึงต้องรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยตั้งแต่เดือน ม.ค. – ก.พ.2565 ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันได้ใช้เงินในการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิง เดือนละประมาณ 7,600 ล้านบาท
ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชน 2 กลุ่มคือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลให้ใช้ราคาลิตรละไม่เกิน 30 บาท และอุดหนุนราคาก๊าซLPG ภาคครัวเรือน (ก๊าซหุงต้ม) ไว้ที่ราคา 318 บาทต่อถังมาเป็นระยะเวลานานซึ่งทำให้สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ เดือน มี.ค.ติดลบรวมกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องมีการปรับราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดโดยเริ่มจากในเดือน เม.ย.จะขึ้นราคากิโลกรัมละ 1 บาท โดยราคาก๊าซหุงต้มขนาด 15 กิโลกรัม จะขึ้นราคาเป็น 333 บาทต่อถังเพื่อลดการชดเชยราคาก๊าซหุงต้มที่จะเป็นภาระกับกองทุนน้ำมันฯลดลง และการขึ้นราคาตามมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จะขึ้นราคาทุกเดือนไปจนถึงเดือน มิ.ย.เดือนละ 1 บาทต่อกิโลกรัมโดยมาตรการเหล่านี้จะทำควบคู่ไปกับการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร
นายกฯเรียกประชุมทีมเศรษฐกิจรับมือวิกฤติราคาพลังงาน
สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยังคงติดตามสถานการณ์สงครามยูเครนกับรัสเซีย ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาพลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 15 มี.ค.เพื่อรับมือสถานการณ์ราคาพลังงานที่ผันผวน ทั้งราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ที่กระทบกับราคาปุ๋ยที่เป็นต้นทุนของเกษตรกร โดยมีคนที่เข้าร่วมประชุมที่สำคัญ ได้แก่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายกุลลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เข้าร่วม ประชุม
โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าในการเตรียมความพร้อมเรื่องการรองรับวิกฤติราคาน้ำมันที่มีความผันผวนมาก ต้องเตรียมรองรับสถานการณ์ที่อาจยืดเยื้ออย่างน้อย 3 เดือน เพราะสถานการณ์อาจยืดเยื้อได้ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานพิจารณามาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้มีรายได้น้อยในช่วงราคาพลังงาน และเงินเฟ้อเพิ่มสูงผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การช่วยเหลือเรื่องของราคาน้ำมันเบนซินในกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้าง รวมถึงจะขอความร่วมมือให้ผู้ค้าเอ็นจีวีให้ตรึงราคาในช่วงวิกฤติ โดยการช่วยเหลือจะช่วยเหลือเป็นรายกลุ่มเพื่อลดภาระความเดือดร้อนของประชาชนที่มีรายได้น้อยก่อนเป็นลำดับแรก
ล่าสุด บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศตรึงราคาก๊าซเอ็นจีวีออกไปอีก 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. –15 มิ.ย.2565 เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยรถยนต์ทั่วไปที่เติมเอ็นจีวีได้เติมที่ราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม และส่วนของรารถแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊กรับจ้างได้เติมเอ็นจีวีในราคา 13.62 บาทต่อกิโลกรัม โดยตั้งแต่เดือน พ.ย.2564 ถึงเดือน มิ.ย.2565 ปตท.ได้ช่วยเหลือผู้ใช้เชื้อเพิลงที่เติมเอ็นจีวีไปแล้วกว่า 3,322 ล้านบาท
กลยุทธ์ Exit Strategy เปิดช่องลดภาษีสรรพสามิตดีเซลหากกองทุนน้ำมันติดลบ
สำหรับในส่วนของการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ระดับราคา 30 บาทต่อลิตรตามนโยบายของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมาเห็นชอบแผนการรองรับวิกฤติราคาน้ำมัน โดยใช้กลยุทธ์รองรับวิกฤติที่เรียกว่า “การถอนกองทุนน้ำมัน ฯ” หรือ “Exit Strategy” โดยเน้นแนวทางปรับการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับสถานการณ์โดยเฉพาะช่วงที่ราคาน้ำมันปรับสูงมากกว่าปกติ เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯยังมีเสียรภาพในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และให้มีเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน ฯ อย่างมีประสิทธิภาพด้วยและสามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนเพื่อลดผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน
รวมถึงได้กำหนดให้ยกเลิกการกำหนดวงเงินบริหารกองทุนน้ำมัน ฯ จากเดิมที่ ครม.ได้ขยายวงเงินกู้ยืมต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท จากเดิมที่แผนรองรับวิกฤต ฯ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ระบุการบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน ฯ ต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท เปลี่ยนเป็นไม่กำหนดเพดานเงินกู้เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯไม่ขาดสภาพคล่อง
นอกจากนี้ยังแก้ไขข้อกำหนดเรื่องการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยการเปิดช่องให้มีการใช้ทางเลือกในการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลมาใช้เพิ่มเติมเหมือนที่รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการมา เพื่อไม่ให้กองทุนน้ำมันฯต้องติดลบมากเกินไป และเพื่อเป็นทางเลือกในการช่วยเหลือลดค่าครองชีพให้กับประชาชน