ชี้ทุนจีนคุณภาพยังโฟกัสลงทุนอสังหาฯ ในไทย
ชี้ปมสงครามการค้าฯ คลายตัว อาจทำเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เชื่อธุรกิจอสังหาฯ ในไทย รับอานิสงส์นี้ ด้าน “บิ๊ก’แคปปิตอล วันฯ” มั่นใจกลุ่มทุนคุณภาพจากจีนยังโฟกัสลงทุนในไทย ระบุควรเน้นบริการหลังการขายให้ลูกค้าต่างชาติ
สิ่งที่หลายฝ่ายเคยเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจขยายผลจนไร้จุดสิ้นสุด ทว่าจากท่าทีล่าสุดของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่มิอาจทนต่อแรงกดดันจากปัญหา “ชัตดาวน์” ภายในประเทศ ทำให้เขาต้องสร้าง “ตัวช่วย” ที่จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และปัญหาปากท้องอเมริกันชน โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการที่ไม่ได้รับเงินเดือนมายาวนานถึง 4 สัปดาห์ และกลุ่มเกษตกร ซึ่งฐานเสียงหลักของเขาเอง คลายตัวลงไปอย่างตรงจุดที่สุด
นั่นคือ ต้องเร่งหาทางเจรจากับรัฐบาลจีน ซึ่งหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มประเมินและวิเคราะห์เศรษฐกิจของบรรดาธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ โดยเฉพาะกับ “5 แบงก์ใหญ่” ประกอบด้วย…ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่เคยออกมาเตือนหลายธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ-อุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับประเทศจีน
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งต่อให้จีนนำไปผลิตเพื่อส่งออก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่พบว่าต้นเหตุจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าข้างต้น ทำให้อำนาจซื้อจากกลุ่มทุนจีน ที่ดอดเข้ามาจองซื้อ, เช่าซื้อ แม้กระทั่ง เทคโอเว่อร์ทั้งตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ อาจพังพาบไปกับปัญหาเหล่านี้
ไม่เพียงแค่นั่น กับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในช่วง 1-2 ปี และค่าเงินหยวนที่ต่ำลง อันเป็นผลพวงจากปัญหาการค้ากับสหรัฐฯ ล้วนมีผลต่อการเดินหน้าเข้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยทั้งสิ้น
แต่จากท่าทีที่อ่อนลงของผู้นำสหรัฐฯ ทำให้หลายฝ่ายในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในไตรมาสนี้ ก็จะโดน “กฎเหล็ก” ควบคุมการปล่อยสินเชื่อจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ค่อยคลายความกังวลใจลงได้บ้าง ทั้งนี้ มุมมองของกลุ่ม “แคปปิตอล วัน” โบรกเกอร์อสังหาฯชั้นนำในเมืองไทย และมีพอร์ตบริหารการขายไม่ต่ำ 30,000 ล้านบาท มองตลาดกลุ่มชาวจีนต่ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ลุ้นมีโอกาสคัมแบ็ค หลังบรรยากาศเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนเริ่มคลี่คลาย
โดยนายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “แคปปิตอล วันฯ” เชื่อว่า ผลของสงครามการค้าฯที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะมีผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าชาวจีน อาจจะมีผลในระยะสั้นและระยะกลาง ต่อเนื่องจากการที่ ปธน.ทรัมป์ เหลือวาระดำรงตำแหน่งอีกเพียง 2 ปี แต่หากเขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ โดยหากไม่ได้รับเลือกตั้งในครั้งหน้า จะทำให้นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ส่วนความกังวลต่อค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าอยู่ที่ 6.8 หยวนต่อดอลลาร์ จากเดิม 6.3 หยวนต่อดอลลาร์ ช่วงต้นปี ก่อน เป็นผลมาจากตอบโต้โดยการดำเนินโนบายทางการเงินของรัฐบาลจีน เพื่อทดแทนราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น แต่ไม่ได้เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจในประเทศจีน โดยสังเกตได้ว่าเงินหยวนได้ขยับตัวอ่อนค่าหลังจากเดือนกรกฎาคม 2018 หลังจากช่วงเวลาที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และแม้ขณะนี้ ความกดดันเรื่องสงครามการค้าจะบรรเทาลง แต่ก็ต้องเฝ้าดูบรรยากาศจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ 6.7781 หยวนต่อดอลลาร์ (18/01/2019) เป็นอัตราแลกเปลี่ยนใกล้เคียงปี 2010 (6.8268 หยวน) ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจีนอยู่ในยุคทอง มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มากกว่า 2 หลักต่อปี ดังนั้น เศรษฐกิจจีนจึงมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นภายในปีหน้า แต่อาจจะผลกระทบต่อจิตวิทยาของกลุ่มผู้ซื้อในระยะสั้น และอัตราแลกเปลี่ยนหลังจากนี้จะคงอยู่ที่ระดับ 6.8-6.9 หยวนต่อดอลลาร์อีกระยะเวลานาน หากยังไม่มีข้อตกลงในการยุติสงครามการค้า
อย่างไรก็ตาม ประชากรจีนทั้งประเทศราว 1,300 ล้านคน หรือมากกว่า 4 เท่าของชาวอเมริกัน ทำให้มีสัดส่วนของชาวจีนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ คาดการณ์ว่าไม่เกิน 0.1% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เงินเก็บค่อนข้างสูงและเจ้าของธุรกิจ ซึ่งการเงินเก็บบางส่วนจะอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์ โดยเข้าลงทุนในต่างประเทศเช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา คนกลุ่มนี้ มีฐานะทางการเงินค่อนข้างมั่นคง จึงมองหาทางเลือกลงทุนในต่างประเทศ และไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นและเป็นบางส่วนของการลงทุนในต่างประเทศของชาวจีน
“ไม่อยากให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มองว่าลูกค้าจีนจะเป็นปัญหาทั้งหมด เนื่องจากการซื้อและไม่โอนกรรมสิทธิ์เป็นเพียงบางส่วน และเกิดจากบริษัทนายหน้าเท่านั้น หรืออาจจะป้องกันปัญหาโดยควรจะมีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการณ์นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในไทย เพื่อมีข้อบังคับและระเบียบในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าชาวจีนมีพฤติกรรมที่เปิดกว้างในต่างประเทศมากขึ้นช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคเอเชียรอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ยุโรปและสหรัฐฯยังมีปัญหายังไม่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และควรให้ความสำคัญต่อการบริการหลังการขายต่อลูกค้าชาวจีนเพื่อชื่อเสียงของประเทศในชาวต่างชาติที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย” นายวิทย์ ย้ำ.