อีกมุมชีวิต ฮาร์ท-สุทธิพงศ์ กับบทบาท ‘พ่อค้าปลาสลิด’
ผมพื้นเพผมเป็นนักร้อง ทำอาชีพนี้กว่า 30 ปี แต่ก็อย่างที่ทราบว่าในระยะหลังนี้ นักร้องไม่ค่อยมีงาน ผมก็เลยหันมาทำอาหารขาย
ฮาร์ท สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล เป็นดาราคนแรกๆที่ออกมา call out วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ศิลปินตกงานทั้งแผ่นดิน เขาวิจารณ์รัฐบาลอย่างหนักหน่วง จนเป็นที่หมายตาของเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายความมั่นคง
เมื่อวันที่ 13 พ.ค. เสกสกล อัตถาวงศ์ แรมโบ้อีสาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แจ้งความฮาร์ทสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล ที่ สน.นางเลิ้ง โดยร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการตรวจสอบว่า ฮาร์ทมีความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ เห็นว่าฮาร์ท ได้โพสต์ข้อความเข้าข่ายการหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 กระทั่งต่อมา ฮาร์ท โพสต์กึ่งถามว่า “มีนายกฯ ที่ไหนฟ้องประชาชน”
กระนั้นชีวิตของ ฮาร์ท สุทธิพงศ์ ก็ไม่ได้มีแค่ดนตรีและการเมือง เขาเล่าให้ฟังว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดขั้นรุนแรงเช่นนี้ มีหลายเรื่องที่เขากำลังทำ หนึ่งในนั้นคือ การผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปปลาสลิด
“ผมพื้นเพผมเป็นนักร้อง ทำอาชีพนี้กว่า 30 ปี แต่ก็อย่างที่ทราบว่าในระยะหลังนี้ นักร้องไม่ค่อยมีงาน ผมก็เลยหันมาทำอาหารขาย โดยภรรยาผมนั้น มีความสามารถและมีความคิดสร้างสรรค์ทางด้านนี้ ผมก็เลยไปเอาปลาสลิดแช่น้ำเกลือจากตลาดปลานครปฐม นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลาสลิด หลากหลายอย่าง เช่น ปลาสลิดฟู ปลาสลิดพอดีคำ รวมถึงก้างปลาสลิดกรอบ ตอนนี้ยังมีน้ำพริกเผา และน้ำพริกปลาสลิด ด้วย“
เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ศิลปินนักร้องต้องตกงาน ขาดรายได้ ศิลปินเบอร์ใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงยังถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่พอมีเงินเก็บ แต่ศิลปินหรือนักดนตรีมืออาชีวิตที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง กำลังเดือดร้อนสาหัส
ฮาร์ท พยายามปรับตัวเพื่อหาเงินมาดูแลคนในวงวงแบ็คอัพ “เบิร์ทกับฮาร์ท” ด้วยการเล่นดนตรีสดในรูปแบบออนไลน์ ผ่านทั้งเฟซบุ๊กและยูทูป เพื่อขอรับการสนับสนุนการแฟนเพลง
“ดนตรีตัวจริงที่เล่นอยู่ข้างหลังไม่ได้มีชื่อเสียง พวกนี้ลำบาก เพราะไม่มีงานและไม่มีงานมาเป็นปีแล้ว ผมและพี่เบิร์ดก็เลยจัดการเล่นดนตรีผ่านทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนคนดูร่วมสมทบ ซึ่งเมื่อทำแล้วผลตอบรับค่อยข้างดี แสดงว่าสังคมรักเราให้การตอบรับเรา“
ฮาร์ท กล่าวว่า เมื่อประชาชนให้การช่วยเหลือพวกเขา เขาจึงคืนแก่สังคมด้วยการทำข้าวกล่องแจกจ่ายประชาชนที่ระแวกบ้านตัวเอง
“ผมเพียงหวังว่าถ้าโควิดหมดไป จะเปิดบ้านต้อนรับคนมารับประทานอาหารร่วมกัน ถือว่าเป็นการพบปะแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน เหมือนกับก่อนช่วงจะเกิดสถานการณ์โควิดขึ้น” ฮาร์ท กล่าว
แม้วิจารณ์การเมืองเรื่อยมา แต่ฮาร์ท ออกตัวว่า ไม่สนใจอยากเล่นการเมือง เพราะมองเป็นทุกขลาภ ขอเป็นประชาชนคนธรรมดาที่วิพากษ์วิจารณ์ทุกฝ่ายได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใครดีกว่า
“ผมไม่มีความคิดที่จะเล่นการเมือง เพราะผมเห็นเป็นทุกขลาภ เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เพราะเราสามารถพูดอะไรได้ตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ได้อยู่เมืองมุ้งหรือบ้านใคร เราสามารถวิจารณ์เจ้าของบ้าน หรือเจ้าของมุ้งได้ตรงๆ“
สำหรับกรณีที่ถูกแรมโบ้ แจ้งความนั้น เขายืนยันเจตนาที่ออกมาตำหนิและวิจารณ์รัฐบาล ไม่ได้ทำด้วยความสะใจ หรือเป็นการระบายอารมณ์แต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้ทราบว่าสถานการณ์บ้านเมืองในโลกของความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร
“เรารักชีวิตของเราเอง รักคนที่เรารัก เราไม่ต้องการให้คนที่เรารักตายไปก่อนวัยอันควร ผมดูข่าวเห็นชาวบ้านเห็นคนวัย 40 เศษๆ คนในวงการบันเทิงต้องตายจากเราไปโดยโรคโควิด เพราะว่าการบริหารจัดการ สถานพยาบาล การส่งผู้ป่วย ไปจนถึงการจัดหาวัคซีน ไม่มีระบบการจัดการที่ดี
ผมแค่ออกมาตำหนิ ออกมาวิจารณ์การทำงานของนายกฯที่อาสามาทำงานให้กับเรา ซึ่งเราไม่ได้เรียกท่านมา เราในฐานะประชาชน พยายามจะบอกท่าน ช่วยท่าน ว่าตรงไหนควรปรับปรุงแก้ไข ก็เท่านั้น”
ก่อนหน้านี้ เต้ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคพรรคไทยศรีวิไลย์ ยังเคยชวนเขาลงเล่นการเมือง รวมทั้งนักการเมืองรุ่นใหญ่มากหน้าหลายตา ยังเคยชวนเขาลงสนามการเมือง แต่เขากลับปฏิเสธ ทุกครั้งไป
“เราจะอยู่ส่วนไหนก็วิจารณ์การเมืองได้ และไม่เป็นหนี้บุญคุณใครด้วย ก็สามารถพูดเรื่องต่างๆได้อย่างเต็มปาก หลาย 10 ปีมาแล้ว ผมเคยปรารถนาอยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากเป็น ส.ส.อยากเป็นใหญ่เป็นโต แต่ ณ วันนี้ 56 ปี รู้ว่าตัวเองไม่ว่องไวเหมือนแต่ก่อน คิดอ่านอะไรก็ช้าลง รู้เลยว่ามันไม่ใช่เวลาของผม เป็นเวลาของคนอื่นแล้ว
ผมยังนึกถึงภาพอริสสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่เขาครองใจคนด้วยเสียงเพลง แต่เมื่อเวลาที่เขาเดินเลี้ยวซ้ายเข้าการเมือง เขาไม่อาจกลับมาเป็นอริสสมันต์ คนเดิมได้อีกต่อไป อีกคนที่ผมไม่ลืม คือจักรภพ เพ็ญแข เขาเก่งทั้งภาษา สติปัญญา เป็นพิธีกรที่หาใครเทียบได้ยากในเมืองไทย แต่เมื่อเขาเลี้ยวเข้าการเมือง ทุกอย่างก็ไม่เป็นเหมือนเดิม“