MD GGC คนใหม่ ชู นโยบายพิชิตผู้นำธุรกิจระดับโลก
เปิดวิสัยทัศน์ “ไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ ” MD GGC คนใหม่ กับ นโยบายการทำงาน Conviction to Change สร้างความเข็มแข็ง 3 ธุรกิจ สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมระดับโลก
หลังจาก ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2564 ได้มีมติแต่งตั้ง “นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สังกัดกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) มาดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการผู้จัดการบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC โดยมีผลบังคับในวันที่ 1 พ.ค.2564
ล่าสุด “นายไพโรจน์” ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรก ถึง แผนกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ GGC สู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมโอลีโอเคมีระดับภูมิภาคและเป็นผู้ประกอบธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมในระดับโลก โดยระบุ ว่า
ได้นำนโยบายการบริหารงานแบบ “Conviction to Change” คือพร้อมที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ตอบสนองความรวดเร็ว สร้างความเข็มแข็งจากภายในสู่ภายนอก ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจทั้ง 3 ด้าน คือ ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Biochemicals) และธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) โดยมีเป้าหมายการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในอนาคต
ซึ่งภายใต้วิสัยทัศน์ดังกล่าว ประกอบด้วย 3 คีย์เวิร์ดสำคัญ ได้แก่ 1.) Leading คือการเป็นผู้นำ ซึ่งในความหมายของ GGC คือจะต้องสามารถวัดผลได้ 2.) Green ความหมาย คือ ผลิตภัณฑ์และธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ 3.) Sustainable Value สร้างคุณค่าชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
“นายไพโรจน์” บอกว่า ทั้ง 3 คำเกี่ยวข้องกับ GGC โดยตรง และกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุแนวคิดดังกล่าว บริษัทฯ ได้มีการวางแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ระยะสั้น บริษัท ได้มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้วิกฤตโควิด-19 ด้วยการปรับวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่นและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
ด้วยการให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home) ออกมาตรการ Lock up ซึ่งเป็นมาตรการการปกป้อง Sensitive Area เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และออกนโยบายให้พนักงานทุกคนรายงานสุขภาพประจำวันของตนเองผ่านแอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามสุขภาพ
รวมไปถึงการปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นด้วยระบบการควบคุมภายในที่ดีและยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล
ในด้านธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) แม้ว่าผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลของบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากการเดินทางของประชาชนที่ลดลง บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายและแสวงหาโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลเพื่อใช้ในทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการทำเพื่อเป็นเชื้อเพลิง
ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Biochemicals) นั้น “นายไพโรจน์” บอกว่า บริษัทฯ ได้เตรียมการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาด ในส่วนของผลิตภัณฑ์เอทานอล เพื่อให้พร้อมสำหรับการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2565 และมีแผนที่จะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ไปยังธุรกิจปลายน้ำในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care : HPC)
ขณะเดียวกันในส่วนของ ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ก็มีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เพื่อรองรับโครงการในอนาคตที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics)
รวมไปถึงอยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีและศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนใน Bio-Succinic Acid ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นเพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PBS ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดย่อยสลายได้อีกชนิดหนึ่ง
ส่วนแผนการดำเนินงาน ระยะกลางถึงระยะยาว นั้น “นายไพโรจน์” บอกว่า บริษัท มองว่า กระแส EV Car ถือเป็นตลาดที่น่าจับตาและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับประเทศไทยภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถพลังงานไฟฟ้าทั้งในส่วนของผู้บริโภคและผู้ผลิต โดยตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ASEAN’s EV hub และมีรถยนต์ไฟฟ้า 1.2 ล้านคันบนท้องถนนภายในปี 2573
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลสู่ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยม ด้วยการนำเทคโนโลยี Hydroprocessing เข้ามาปรับปรุงคุณภาพทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
และมีแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจที่ใช้ปาล์มน้ำมันและอ้อยเป็นวัตถุดิบ ทั้งรูปแบบของการลงทุนโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิตปัจจุบันและการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าเพิ่ม (High Value Products) ชนิดใหม่ โดยมุ่งเน้นการเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ขั้นปลายหลากหลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care) อาหาร (Food) และโภชนเภสัช (Nutraceuticals)
นอกจากนั้นยังมีแผนการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ที่ใช้วัตถุดิบจากผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Biochemicals) ที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ ด้วยรูปแบบการร่วมมือกับเจ้าของเทคโนโลยีการผลิต
“นายไพโรจน์” บอกอีกว่า สำหรับโปรเจ็กยักษ์ของ GGC ในขณะนี้ คือ การขับเคลื่อนโครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์”(Nakhonsawan Biocomplex) สู่การเป็น Bio Hub แห่งแรกของประเทศไทยแบบครบ ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้างกว่า 91 เปอร์เซ็นต์ โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565
ส่วนระยะที่ 2 มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร เพื่อต่อยอดสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) และเคมีชีวภาพ (Biochemicals) ที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนร่วมกัน (Synergy Benefit) ตลอดห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมชีวภาพ และช่วยส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในประเทศไทยรวมไปถึงชุมชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ GGC ยังได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์และการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ เมทิลเอสเทอร์ (B100) หรือ ไบโอดีเซล
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลด Carbon Emission Scope 3 ของ GC Group โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีการปล่อยคาร์บอนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากพลังงานหมุนเวียน
รวมไปถึงโครงการอื่นๆ ที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ โครงการปรับปรุงระบบลดความดันไอน้ำและโครงการนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ยกระดับการดำเนินงานด้าน CSR สู่ CSV เพื่อสร้างคุณค่าสู่สังคมที่ยั่งยืน มุ่งเน้นกิจกรรมทางสังคมที่มีคุณค่าที่สะท้อนความยั่งยืน สอดรับกับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ควบคู่ไปกับการผสานความร่วมมือกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ เช่น
โครงการ RSPO ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันของประเทศไทยและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาวของเกษตรกร เพื่อให้สามารถดำรงชีพปลูกพืชผลได้อย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้ได้รับการรับรอง RSPO ภายในปี 2024
โครงการ Green Health Project การนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มาช่วยเหลือสังคม ด้วยการนำร่องนำ “กลีเซอรีน” เกรดอุตสาหกรรมอาหารและยา 99.5 % มาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขอนามัย ได้แก่ เจลแอลกอฮอล์ สเปรย์แอลกอฮอล์ สบู่เหลวล้างมือ เพื่อส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบที่สามารถสะท้อนในการนำนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มาพัฒนาและแก้ไขปัญหาของชุมชนและสังคม
“นายไพโรจน์” บอกว่า GGC ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อก้าวสู่การเป็นแกนนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Flagship Company) ของกลุ่ม GC และเป็นผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมในระดับโลกที่โดดเด่น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรอันสอดคล้องกับแนวคิด “เศรษฐกิจชีวภาพ” (Bioeconomy) ของภาครัฐ
เพราะเราเชื่อว่า “กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ GGC ในปัจจุบันจะเป็นหนึ่งพลังสำคัญ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
และทั้งหมดนี้ คือ วิสัยทัศน์ ของ MD GGC คนใหม่ ที่พร้อมจะเดินหน้า นโยบายการทำงาน Conviction to Change ขับเคลื่อน ความมั่นคงทางธุรกิจ GGC สู่ความยั่งยืนในอนาคต