โควิดฯทำลายศรัทธารัฐบาลและทีมเศรษฐกิจ
รัฐบาลจะบริหารประเทศบนสภาพการณ์ที่คนไทย…ไม่ศรัทธาและไม่ให้ความร่วมมือได้อย่างไร? กับคำถามมากมายถึง “ทีมเศรษฐกิจ” คิดดีแล้วหรือ? ถึงจะดึงเงินออมของคนไทยมากระตุ้นเศรษฐกิจ! ในวันที่โควิดฯทำลายล้างทุกสิ่งอย่าง
ตัวเลข “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” หลังเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 เมื่อช่วงต้น เม.ย.64 พบยอดสะสม ณ 30 เม.ย. ตามที่ ศบค.แจ้งไว้ที่ 65,153 ราย
หากนำไปหักลบจากยอด “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” ณ 31 มี.ค. หรือ 1 เดือนก่อนหน้านี้ ที่มีเพียง 28,868 ราย แล้ว เห็นได้ชัดว่า…เฉพาะ เม.ย.เพียงเดือนเดียว ยอด “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” พุ่งไปถึง (65,153 – 28,868) 36,285 ราย
แล้วหากดูตัวเลขของผู้เสียชีวิต จะยิ่งเห็นได้ชัด! สายพันธุ์อังกฤษที่ลามจากกัมพูชามายังไทยนั้น แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงแค่ไหน? ศบค.ระบุตัวเลข ผู้เสียชีวิตสะสม ณ 31 มี.ค. รวมกัน 94 คน แต่ตัวเลข ณ 30 เม.ย. พบผู้เสียชีวิตสะสมพุ่งไปถึง 203 ราย มีคนเสียชีวิต เฉพาะ เม.ย. รวมกันมากถึง (203 – 94) 109 คน
ทั้งตัวเลข “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” และ “ผู้เสียชีวิตสะสม” ของ เม.ย.เพียงเดือนเดียว มากกว่า…ตัวเลขตลอดหนึ่งปีเศษรวมกัน นับแต่เริ่มระบาดในเมืองไทย
แม้ ศบค.เพิ่งแถลงตัวเลข “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” ของ 4 พ.ค. ลดจากยอดที่เคยทะลุ “2 พันรายต่อวัน” เหลือเพียง 1,763 ราย ทว่า…ก็มีสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก นั่นเพราะ…มีแนวโน้มการแพร่ระบาดเกิดขึ้นใหม่ในหลายคลัสเตอร์
นอกจาก คลัสเตอร์ทองหล่อ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดระลอก 3 แล้ว ดูเหมือน คลัสเตอร์คลองเตย และ คลัสเตอร์สมุทรปราการ รวมถึงอีกหลายๆ ที่ ก็มีโอกาสจะสร้าง “สถิติใหม่” ลุกลาม…บานปลายขึ้นไปอีก
เฉพาะ 4 พ.ค. แม้ตัวเลข “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” จะลดจากหลายวันก่อนหน้านี้ ทว่า…เมื่อดูตัวเลขผู้เสียชีวิตแล้ว หลายคนคงต้องอึ้ง! เพราะได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นอีกครั้ง…กับตัวเลขผู้เสียชีวิตที่สูง 27 ราย
มันเกิดอะไรขึ้น! กับแนวคิดและวิธีการบริหารจัดการไวรัสโควิดฯของรัฐบาล? ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรงได้หรือไม่?
สถานการณ์นี้ จัดว่า…สั่นสะเทือนสถานภาพ! ทั้งของรัฐบาล และตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ยังสวมหมวกเป็นทั้ง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” และ “ผอ.ศบค.” แถมยังกุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียวผ่าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้อย่างมาก…
หลายคนตั้งคำถาม? ทำไมรัฐบาลไม่เร่งรัดนำเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ไปจัดหา จัดซื้อ และกระจายฉีดให้กับคนไทย นับแต่ที่โลกเริ่มผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ขึ้นมาได้…
ที่ ฝ่ายค้าน นักวิชาการ สื่อมวลชน ฯลฯ ออกมาทักท้วง ตำหนิ และเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนฯ แบบไม่ต้อง…จำกัดยี่ห้อและแหล่งผลิต หากมีคุณสมบัติเพียงพอจะใช้ป้องกันโควิดฯได้ แล้วรัฐบาลไม่เพียง…ไม่ทำตาม แต่ยังตั้ง ทีมองครักษ์ ขึ้นมาตอบโต้และด่ากลับ ถึงขั้นฟ้องร้องดำเนินคดีกับคนที่เห็นต่างในเรื่องนี้…ก็มีให้เห็นกันแล้ว
จนถึงวันนี้ พิสูจน์ทราบได้หรือยังว่า…รัฐบาลคิดผิดและทำผิดมาโดยตลอด! หากวันนั้น…รัฐบาลเดินหน้าจัดหาและซื้อวัคซีนฯ จากผู้ผลิตทั่วโลกจริงๆ โดยไม่หวังพึ่งโรงงานตั้งใหม่ในไทย แบบไม่เปิดใจกว้างล่ะก็
ป่านนี้…คนไทยกว่าครึ่งนึงของ 67 ล้านคน…คงได้รับการฉีดวัคซีนฯกันไปแล้ว
แม้การฉีดวัคซีนฯครบ 2 โดส จะไม่ทำให้ผู้ที่ได้รับการฉีดฯปลอดภัยจากไวรัสโควิดฯ 100% แต่ก็ทำให้ติดเชื้อเกิดได้ยากขึ้น เมื่อติดเชือฯแล้ว อาการเจ็บป่วยก็จะไม่รุนแรง และไม่ถึงกับตาย!
ไม่เพียงลดยอด “ผู้ติดเชื่อรายใหม่” และ “ผู้เสียชีวิตสะสม” หากยังทำให้เครดิตของเมืองไทย…ในสายตาของชาวโลก ที่มองประเทศไทยเป็น “ปลายทางจุดท่องเที่ยวของโลก” ดีขึ้นและเชื่อใจ…จนกลับมาท่องเที่ยวทันทีที่เปิดประเทศ
แต่เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ โอกาสจะเรียกนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย…กลายเป็นเรื่องยากทันที!
ครึ่งปีหลังที่รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว เลือกเอาเกาะภูเก็ต “นำร่อง” ก่อนจะกระจายไปยังจังหวัดใหญ่ทั่วไทย คงมีอันต้องล้มพับกันไปเพราะ…ระลอกที่ 3 นี้เอง
คงอีกนานกว่าที่เมืองไทยจะมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 40 ล้านคน และดึงเงินออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยว เช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 62 รวมกว่า 3.01 ล้านล้านบาท
นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกตั้งคำถามมากมายแล้ว คนที่รับลูกจาก “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” แล้วนำนโยบายมาปฏิบัติฯอย่าง…นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯและรมว.พลังงาน รวมถึง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ก็ถูกตั้งคำถามถึง “วิสัยทัศน์” และ “ขีดความสามารถ” ในการทำงานเช่นกัน
เมื่อพวกเขามี “ไอเดีย” สร้างแรงจูงใจให้คนไทยนำ “เงินออม” ออกมาใช้จ่าย เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ในยามที่รายได้จากต่างประเทศ “หดหาย” เป็นอย่างมาก…ด้วยแล้ว ยิ่งจะถูกปรามาสในระดับของ….สติปัญญาอย่างรุนแรง!
คิดได้ไง? สถานการณ์ที่ไม่รู้แน่ว่าปลายทางของเชื้อไวรัสโควิดฯจะสิ้นสุดลงเมื่อใด? สถานการณ์ที่เห็นได้ชัดว่า…รายได้หด เสี่ยงจะถูกให้ออกจากงานฯ ขณะที่ราคาสินค้าแพงขึ้น แถมหาซื้อได้ยาก…ใครจะมีแก่ใจ เอาเงินออมออกมาใช้ เช่นที่รัฐบาลคาดหวัง
หันไปดูตัวเลขเงินออม ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุไว้ในรายงาน เมื่อ 9 เม.ย.64 พบว่า…คนไทยมียอดฝากเงินรวมกันราว 14.72 ล้านล้านบาท จากบัญชีเงินฝากรวม 2.60 ล้านบัญชี ทว่าเงินฝากจำนวนนี้…มียอดฝากในบัญชีต่ำกว่า 50,000 บาท รวมกันมากถึง…2.35 ล้านบัญชี หากคิดเป็นตัวเงิน จะมีเพียง 4.35 แสนล้านบาท
หากนำไปเทียบกับยอดเงินฝากรวม คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.95% เท่านั้น
หมายความว่า…เงินออมหรือเงินฝากกของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ต่ำกว่า 50,000 บาท มีมากสุดในแง่ของบัญชีเงินฝาก แต่น้อยสุดในแง่ของตัวเลขเงินฝาก ดังนั้น โอกาสจะดึงเงินออกจากกระเป๋าคนจน แม้จะง่ายกว่าคนรวย…แต่เงินของคนจน ก็มีน้อยเกินกว่าจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่รัฐบาลคาดหวัง
ครั้นจะหลอกดึงเงินจากกระเป๋าคนรวย…ก็คงไม่ง่าย! คนกลุ่มนี้…ใช้จ่ายเงินได้ยากกว่าคนจน ที่จำต้องควักออกมาใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอดของคนในครอบครัว
ถึงตรงนี้…น่าหนักใจแทนรัฐบาล ในแง่ของ…ผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของคนไทยและสถานภาพของเมืองไทย และ น่าหนักใจแทนคนไทย…ในแง่ที่ต้องทนแบกรับสภาพปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น แต่ไม่อาจหลีกหนีกับสภาพไร้ความสามารถของรัฐบาลได้
นับเป็นสถานการณ์ที่ยากจะทางออกได้อย่างเหมะสมกับสภาพการณ์ความเป็นจริงนัก!
ลาออก! แสดงสปิริตชดเชยความล้มเหลว? แม้ไม่อาจช่วยแก้ปัญหาของชาติในยามนี้ได้ แต่หากยังคงฝืนทนกันต่อไป…โอกาสจะได้ใจคนไทย ที่เคยให้ความร่วมมือครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่แก้ไขปัญหาโควิดฯไม่ได้ ก็จะยิ่งยากขึ้นรัฐบาลจะบริหารประเทศ…บนสภาพการณ์ “ไร้ความร่วมมือและไร้ศรัทธา” ได้อย่างไร?.