เปิดใจ “จตุพร” การต่อสู้ครั้งใหม่ ใครอยู่เบื้องหลัง
ผมว่าการเมืองไทยในตอนนี้เหมือนกับสมัยที่เจียงไคเชกจับมือกับเหมาเจ๋อตุง ขับไล่จักรวรรดิญี่ปุ่น
ถ้าไม่ติดว่าขณะนี้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 ป่านนี้ “จตุพร พรหมพันธุ์” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) น่าจะกำลังนำมวลชนขับไล่รัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
จตุพร ร่วมกับมิตรสหาย ก่อม็อบเวที “ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย” ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. โดยจัดเวทีเรื่อยมา กระทั่งเจอสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ ทำให้ต้องหยุดชะงัดไป
อย่างไรก็ตาม “จตุพร” ยังถูกตั้งข้อสังเกตจากฝ่ายที่สนับสนุนการชุมนุมของ “กลุ่มราษฎร” ว่า ก่อม็อบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือ หวังลดระดับข้อเรียกร้องของม็อบเยาวชนหรือไม่
เพราะข้อเรียกร้องภายใต้การชุมนุมที่นำโดย “จตุพร” มีเพียงการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ไม่มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปสภาบัน หรือ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตร 112
จตุพร ไขข้อสงสัยนี้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นความเคลื่อนไหวในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับ นปช.หรือคนเสื้อแดง โดยออกมาเคลื่อนไหวหลังจากที่ อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้เชิญชวน ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากไปกว่านั้น
“คนชักชวนมีเพียงคนเดียวคือคุณอดุลย์ และบรรดาญาติพฤษภาที่ผูกพันกัน ถ้าตั้งข้อกล่าวหาว่าผมรับงานใครมา ผมตอบง่ายๆว่า ผมรับคำชวนของคุณอดุลย์ ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรภาคประชาชน หรือองค์กรอื่นที่ขัดแย้งกันมาตลอด 15 ปี”
จตุพร เล่าเหตุผลที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งใหม่นี้ว่า เพราะไม่อาจปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่บริหารประเทศต่อไปได้ เนื่องจากอยู่ในอำนาจมาเกือบ 7 ปี แล้ว แต่มีวี่แววว่าจะอยู่ในอำนาจต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปี หากไม่ออกมาต่อต้าน ขับไล่ ก็ไม่มีทางที่ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จะยอมลงจากอำนาจ
“ผมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือศูนย์กลางของปัญหา ผมเคารพการตัดสินใจในประเด็นการเรียกร้องของคนหนุ่มสาวและไม่ได้ออกมาขับเคลื่อนเพื่อลดระดับข้อเรียกร้องในการชุมนุมของคนหนุ่มสาว แต่เห็นว่าหากไม่ทำอะไรเลย พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ต่ออย่างน้อยอีก 6 ปี ดังนั้น ลำดับแรกจึงต้องเอา พล.อ.ประยุทธ์ ออกไปก่อน
เช่นเดียวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผู้ที่เป็นปัญหาสำคัญก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นผู้ประกาศในที่สาธารณะว่าจะไม่เอาโทษเกี่ยวกับกฎหมายนี้ กระทั่งต่อมาก็เปลี่ยนใจมาเอาโทษเยาวชน คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดท่ามกลางความขัดแย้งในเวลานี้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์”
จตุพร มองการต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายที่ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบเหมือนครั้งหนึ่งที่ เจียงไคเชก จับมือกับเหมา เจ๋อตุง กับไล่จักรพรรดิญี่ปุ่นออกจากจีน
“ผมว่าการเมืองไทยในตอนนี้เหมือนกับสมัยที่เจียงไคเชกจับมือกับเหมาเจ๋อตุง ขับไล่จักรวรรดิญี่ปุ่น มันก็เหมือนกับตอนนี้ที่ต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากการเมืองไทยเสียก่อน ผมเคยประมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อปี 2553 พล.อ.ประยุทธ์ มีบทบาทปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์นั้น ทำให้รู้ว่าถ้าทุกฝ่ายไม่ร่วมจัดการพล.อ.ประยุทธ์ ก็ยากที่จะจัดการได้”
ส่วนข้อครหาว่าไปลดเพดานของกลุ่มราษฎร จตุพร บอกว่า ใครจะต่อสู้อย่างไร เราเคารพในสิทธิเสรีภาพนั้น เรามีจุดหมายเดียวกับคือให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากการเมือง ยืนยัน ระบบประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดคือความแตกต่าง ใครเชื่ออย่างไรก็ให้ต่อสู้ตามความเชื่อนั้นโดยไม่ขัดแย้งกัน
สำหรับ “จตุพร” ยังมีข้อกังขาว่า ความสัมพันธ์ของเขากับมิตรสหายกลุ่ม นปช. ไม่ว่าจะเป็น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ธิดา ถาวรเศรษฐ เหวง โตจิราการ รวมถึง วีระ มุสิกพงศ์ นั้นยังแนบแน่นเช่นเดิมหรือไม่
โดยเจ้าตัวบอกว่า ไม่ได้มีปัญหากันแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ค่อยได้พบกันก็เท่านั้น นอกจากนี้ เขายังพร้อมสละตำแหน่งประธาน นปช.ให้กับ “ณัฐวุฒิ” หาก “ณัฐวุฒิ” กลับมาสู้เคียงข้างนักศึกษา
“เพื่อไม่ให้มีปัญหาระหว่างกัน และขอสื่อความให้เข้าใจตรงกันตามวิสัยลูกผู้ชายว่า วันไหนณัฐวุฒิได้ลงในสนาม เช่นเดียวกับนายอานนท์ นำภา และคณะ นายจตุพรจะลาออกจากประธาน นปช.โดยไม่ชักช้า และส่งไม้มอบต่อกับณัฐวุฒิ และระหว่างที่รอนี้ ผมของไปไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการยุแหย่ว่า ใครเหนือกว่าใคร แล้วทะเลาะกันเอง
เอาเป็นว่า ถ้าวันใดที่ณัฐวุฒิไปยืนหยัดเคียงข้างกับบรรดาน้องๆ นักศึกษา กลุ่มราษฎร เฉกเช่นอยู่ในสมรภูมิเดียวกับอานนท์ นำภา ไผ่, รุ้ง, เพนกวิน เหมือนกับที่ณัฐวุฒิยืนหยัดเคียงกับผมในปี 2553 วันไหนก็วันนั้น ผมจะประกาศลาออกจากตำแหน่ง ประธาน นปช. และยกให้ณัฐวุฒิไป ส่วนจะมีขบวนการอย่างไรก็ว่ากัน แต่นี่เป็นคำมั่นสัญญา”
ส่วนมีคำถามว่าที่ผ่านมาทำไมไม่ลาออกจาก ประธาน นปช.นั้น จตุพร กล่าวว่า เนื่องจากที่ผ่านมามีการกล่าวหาตัวเองอาจย้ายขั้วสลับข้าง ไปอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพวกเผด็จการ และสังกัดพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ซึ่งเป็นความเท็จ จึงไม่ลาออกตามความเท็จนั้น เพราะถ้าทำตามคำเท็จแล้ว ตนก็ไม่ใช่คน
“ผมว่าเขาวิตกกังวลแล้วพยายามปั่นให้เกลียดผม แล้วคนได้ประโยชน์สูงสุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่ต่อ รัฐธรรมนูญไม่ได้แก้ไข แล้วอยู่กันไป ส่วนผมไม่เอาด้วย เพราะต้องการจัดการ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน จึงต้องมาร่วมมือกันสามัคคีประชาชน ถ้ายังมีหลักคิดเดิมๆ ประชาชนก็ห้ำหั่นกันเหมือนเดิม พล.อ.ประยุทธ์ก็อยู่ยั่งยืนยงเหมือนเดิม”
จตุพร กล่าวว่า การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเราไม่ได้โดดเดี่ยว แต่มีการร่วมมือกันมากขึ้นในการจัดการกับระบอบประยุทธ์ เรามุ่งไล่พล.อ.ประยุทธ์ด้วยแนวทางสันติวิธี และการเคลื่อนขบวนของสามัคคีประชาชนจะเป็นทางออกของชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง