ชาดา ไทยเศรษฐ์ “เขาว่าผมเป็นมาเฟีย”
![](https://aec10news.com/wp-content/uploads/2021/04/12-1024x768.jpg)
ถ้าถามว่าผมมีอิทธิพลหรือไม่ ผมก็ต้องเรียนตรงๆว่ามีครับ ไม่มีอิทธิพลจะทำงานให้บ้านเมืองได้หรือ
ชื่อของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” โด่นเด่นขึ้นมาในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ก่อนตั้งรัฐบาล ประยุทธ์ 2/1 เขามีชื่อเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรี แต่เมื่อกระแสสังคมไม่ยอมรับ ทำให้ ชาดา ต้องไปไม่ถึงดวงดาว กระนั้น ก็มีน้องสาวอย่าง มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ได้เป็นรัฐมนตรีแทน
เขา เริ่มเล่นการเมือง ในฐานะเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี ต่อมาในปี 2543 เข้าร่วมกิจกรรมกับพรรคถิ่นไทย และในการเลือกตั้ง 2550 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดอุทัยธานี สังกัดพรรคชาติไทย และได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา
![](https://aec10news.com/wp-content/uploads/2021/04/81743455_2771615702931320_3629083460578050048_n-1024x1009.jpg)
ก่อนที่ ในปี พ.ศ. 2561 เขาย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย ชบแนบอก อนุทิน ชาญวีรกูล
ชาดา ถูกวิจารณ์ว่ามีข้อครหามาโดยตลอดว่า เป็นมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล เคยถูกจับกุมในข้อหาจ้างวานฆ่าสมเกียรติ จันทร์หิรัญ เลขานุการของประแสง มงคลศิริ ส.ส.พรรคไทยรักไทย เหตุเกิดเมื่อปี 2546 สุดท้ายศาลพิพากษายกฟ้องในปี 2548
สำหรับเจ้าตัวแล้ว ชาดา กล่าวว่า ทำใจกับการถูกมองว่า เป็นผู้มีอิทธิพล มาเฟีย เพราะด้วยบุคลิก และการมีเพื่อนฝูงเป็นจำนวนมาก นั่นอาจเป็นเหตุที่ทำคนจะมองเขาอย่างนั้น
“เป็นมุมมองของแต่ละคน ที่จะมองผมอย่างนั้น ผมเคารพในการตัดสินใจ แต่ผมก็ไม่ได้มีคดีอะไร แต่ถ้าถามว่าผมมีอิทธิพลหรือไม่ ผมก็ต้องเรียนตรงๆว่ามีครับ ไม่มีอิทธิพลจะทำงานให้บ้านเมืองได้หรือ แต่ผมไม่เคยใช้อิทธิพลไปรังแกใคร ไม่ได้ใช้อิทธิพลไปทำร้ายบ้านเมือง ผมใช้อิทธิพลช่วยเหลือคน ใช้อิทธิพลสร้างบ้านสร้างเมือง”
เขายังพูดถึงบุคลิกส่วนตัวว่า “ผมอาจจะมีเพื่อนฝูงเยอะ คนเข้าออกบ้านผมเยอะแยะมากมาย เขาอาจจะมองว่าผมไปพัวพันกับเรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเขาจะมองอย่างนั้น เพราะเราเป็นนักการเมืองบ้านเราต้องเปิดอยู่ตลอดเวลา”
![](https://aec10news.com/wp-content/uploads/2021/04/118535116_3294658350627050_4830023715486186177_n-855x1024.jpg)
ชาดา เล่าชีวิตในวัยเด็กว่ากําพร้าตั้งแต่อายุ 14 ปี มีวันนี้ได้เพราะคนนอุทัยธานีช่วยไว้
“พี่น้องชาวอุทัยให้กับตระกูลไทยเศรษฐ์อย่างมาก ผมจะใหญ่โตที่อุทัยธานีไม่ได้หากคนอุทัยธานีไม่ได้เลี้ยงผมมา ผมเป็นลูกกำพร้าตั้งแต่อายุ 14 ตอนเด็กไม่ว่าจะไปตัดผมหรือว่าจะไปหาหมอเขาก็ไม่เอาเงิน เพราะผมเป็นลูกกำพร้า ผมอยู่ได้ ถึงทุกวันนี้เพราะคนอุทัยเลี้ยงมาผม ผมและครอบครัวเป็นหนี้บุญคุณคนอุทัยธานีเยอะแยะมากมาย”
ปี 2560 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เดินหน้ามาตรการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล เพื่อเตือนถึงกลุ่มผู้กว้างขวาง ซุ้มนักเลงต่างๆทั่วประเทศ ว่าหากยังมีพฤติกรรมเข้าข่ายผู้มีอิทธิพลจะถูกใช้มาตรการกดดันอย่างหนักจากเจ้าหน้าที่ โดย ชาดา เป็นหนึ่งคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจค้นรถยนต์
เรื่องนี้ ชาดา บอกว่า ก็ได้ให้ความร่วมมือกับหน้าที่เป็นอย่างดี ครั้งนั้นเมื่อตำรวจไม่พบว่ามีสิ่งผิดกฎหมาย ทุกอย่างก็เรียบร้อย ไม่มีปัญหาระหว่างกัน
“บุคลิกของผมอาจจะดูนักเลง โผงผาง แต่สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือนักเลง ไม่ใช่อันธพาล นักเลงคือคนที่มีน้ำใจ มีพวกมากแต่ไม่ใช่อันธพาล คือมันจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ ไม่ได้อยู่ที่สื่อมวลชนหรือคนใดคนหนึ่ง ที่จะชี้ แต่อยู่ที่การกระทำของเราถ้าการกระทำของเราดี ก็จะมีผลลบคำสบประมาทต่างๆ สื่อบางฉบับบอกกับผมเองว่า เมื่อก่อนด่าผมด้วยความเข้าใจผิดจริงๆซึ่งผมก็ไม่โกรธ เพียงแต่ว่าอย่าอคติกับผมก็แล้วกัน เมื่อพูดไปแล้วไม่จริง จะต้องแก้ให้ผม ชีวิตผมชินชากับคำว่าอคติและรับมันมาอย่างซาบซึ้ง อย่างไรก็ตาม คนที่ทำกับผม ผมไม่เห็นว่าจะได้ดีสักคน”
![](https://aec10news.com/wp-content/uploads/2021/04/150962922_2055442184597463_943912925334214434_n.jpg)
ชาดา ยังกล่าวถึงการที่มีชื่อเป็นรัฐมนตรี แต่อยู่ๆกลับพลาดโอกาส ไม่ได้นั่งเป็นรัฐมนตรีว่า เพราะไม่ใช่ความประสงค์ของพระเจ้า
“ผมถือว่าพระเจ้าไม่ได้ให้ผมเป็น ผมก็ไม่ได้เป็น และผมก็ไม่ได้โกรธหรือเสียใจ เพราะผมก็ไม่ได้คิดอยากจะเป็น ที่สุดแล้ว แม้ผมไม่ได้เป็น น้องผมก็ได้เป็น เป้าหมายของผมไม่ได้อยากเป็นรัฐมนตรี แต่ผมต้องการอนุสาวรีย์”
ชาดา บอกว่า สิ่งสำคัญสำหรับเขา คือการทำงานตอบแทนประชาชน โดยเฉพาะชาวอุทัยธานี ที่ให้โอกาสคนตระกูลไทยเศรษฐ์ อย่างมากมายมหาศาล ดังนั้ง จึงจะต้องทำทุกอย่างเพื่อจังหวัดของตัวเอง
“ประชาชนเหมือนเป็นข้าวสารที่เราจะไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะกินเม็ดใดไม่กินเม็ดใด ดังนั้น ประชาชนทุกคนเท่ากันหมดผมจึงต้องดูแลประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงทั้งคู่แข่งเราเอง เราก็ต้องดูแลเขาด้วยเช่นกัน เพราะจังหวัดอุทัยธานีเราอยู่กันแบบพี่น้อง”