เกาหลีใต้เร่งตรวจหาเชื้อ หลังระบาดหนัก
โซล – เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ประธานาธิบดีมุนแจอินแห่งเกาหลีใต้สั่งการให้มีการขยายกำลังการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และมีการสอบสวนหาเส้นทางการติดเชื้อให้มากขึ้น เนื่องจากประเทศพยายามจะควบคุมการติดเชื้อระลอกล่าสุดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (KCDC) รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 615 รายจนถึงเที่ยงคืนวันที่ 6 ธ.ค. นับเป็นการติดเชื้อเป็นเลขสามหลักนานถึงหนึ่งเดือน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งขึ้นเป็น 38,161 ราย ทางกระทรวงสาธารณสุขเตือนว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจพุ่งเกิน 900 รายในสัปดาห์หน้า หากอัตราการติดเชื้อยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง
ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบกับระบบการทำงานเพื่อสกัดโรคระบาดของเกาหลีใต้ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการสอบสวนโรค การตรวจหาเชื้อ และการกักตัวเพื่อเลี่ยงมาตรการล็อกดาวน์ในการระบาดก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 50 รายต่อวันในช่วงฤดูร้อน
ประธานาธิบดีมุนเน้นย้ำให้รัฐบาลระดมสรรพกำลังและทุกทรัพยากรที่มีเพื่อติดตามการติดเชื้อ และขยายการตรวจหาเชื้อด้วยการใช้เจ้าหน้าที่ทหารและข้าราชการมากขึ้น จากถ้อยแถลงของโฆษกทำเนียบประธานาธิบดี
มุนระบุถึงความจำเป็นที่ต้องมีการจัดตั้งศูนย์ตรวจหาเชื้อไวรัสแบบไดรฟ์ทรู และขยายเวลาทำงานของศูนย์ตรวจหาเชื้อเพื่ออำนาวยความสะดวกให้ประชาชนที่ทำงานได้รับการตรวจมากขึ้น
เขายังได้แนะนำให้ทางการเร่งใช้การตรวจแอนติเจนอย่างรวดเร็วที่ทราบผลการตรวจภายใน 15 นาที เทียบกับ 6 ชม.ของการตรวจแบบ PRC
“เราเคยเอาชนะวิกฤตไวรัสโคโรนามาหลายครั้ง แต่สถานการณ์ตอนนี้ร้ายแรงกว่าที่เคยเป็น” เขากล่าว โโยชี้ถึงแนวโน้มที่น่ากังวลของการติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้นำเกาหลีใต้ยังเตือนว่า “การแพร่ระบาดทั่วประเทศที่ควบคุมไม่ได้” อาจทำให้เกาหลีใต้ไม่สามารถควบคุมการระบาดครั้งนี้ของไวรัสได้
โดยอัตราการตรวจที่มีผลเป็นบวกระลอกล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 4.2% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งปีคือ 1.2% จากข้อมูลของ KCDC
ตั้งแต่ 8 ธ.ค. จะมีการยกระดับมาตรการเว้นระยะห่างเป็นระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับนาน 3 สัปดาห์ หมายความว่า ห้ามการอยู่รวมกันเกิน 50 คน แม้แต่ในงานแต่งงาน หรืองานศพ และปิดห้องคาราโอเกะและศูนย์กีฬาในร่ม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยอนุญาตให้เปิดได้ถึง 21.00 น.
ไม่อนุญาตให้มีผู้ชมการแข่งขันกีฬา และต้องประกอบพิธีทางศาสนาออนไลน์ ขณะที่ร.ร.ประถมให้เปิดเรียนได้โดยลดจำนวนนักเรียนเหลือ 1 ใน 3 ร.ร.มัธยมยังคงทำการเรียนการสอนออนไลน์
รถไฟใต้ดินในกรุงโซลจะลดการให้บริการลง 30% หลังเวลา 21.00 น. ตามแผนของเมืองที่จะหยุดกิจกรรมของประชาชนหลังเวลา 21.00 น. เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดที่เลวร้ายที่สุดหลังเดือนมี.ค.เป็นต้นมา
เริ่มตั้งแต่ 5 ธ.ค.หลายสถานที่เริ่มมีมาตรการเคอร์ฟิว ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ร้านเสริมสวยและซูเปอร์มาร์เก็ต
พัคนึงฮู รมว.สาธารณสุขระบุว่า พื้นที่กรุงโซลอยู่ในภาวะการทำสงครามกับไวรัส เนื่องจากยอดติดเชื้อพุ่งขึ้นถึง 470 รายในวันที่ 6 ธ.ค. สูงที่สุดในรอบ 9 เดือน ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ 440 รายในวันที่ 7 ธ.ค.
“หากเราควบคุมการระบาดของไวรัสไม่ได้ เราจะเห็นการติดเชื้อที่พุ่งทะยานเหมือนระเบิด และระบบการแพทย์ของประเทศจะล่ม”