ฮอนด้าคาดยอดขายเพิ่มแต่กำไรหด
บริษัทฮอนด้าคาดการณ์ว่ากำไรจากผลประกอบการในปีงบประมาณปัจจุบันจะลดลง เนื่องจากยอดขายรถยนต์ได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น และค่าใช้จ่ายของการวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 3 ของญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ของกำไรจากผลประกอบการว่าจะอยู่ที่ 705,000 ล้านเยน ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมี.ค. ลดลงจาก 840,700 ล้านเยนในปีที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขประเมิน 850,800 ล้านเยนจากโพลล์สำรวจ 23 นักวิเคราะห์ของธอมสัน รอยเตอร์
โดยฮอนด้าคาดการณ์ว่า กำไรสุทธิจะลดลง 14% มาอยู่ที่ 530,000 ล้านเยนในปีนี้
การตั้งเป้าของฮอนด้าอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ที่ค่าเฉลี่ยเงินเยนคือ 105 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงเดือนมี.ค. ซึ่งแข็งค่าขึ้นจาก 108 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว
นายเซจิ คุราอิชิ รองประธานบริหารให้ข้อมูลว่า “ ค่าใช้จ่ายของเราที่เพิ่มขึ้นมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต เช่น ฟังก์ชั่นการขับอัตโนมัติและรถพลังงานไฟฟ้า ”
โดยฮอนด้ายังคงค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยีรถไร้คนขับ ระบบส่งกำลังที่มีค่าปล่อยมลพิษต่ำและบริการทางยานยนต์ใหม่ๆ ที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับรถยนต์ที่ผลิต นอกเหนือจากคุณภาพและความน่าเชื่อถือที่เป็นแรงหนุนให้บริษัทเติบโตในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ทางบริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกจะปรับขึ้น 1% เป็น 5.08 ล้านคันในปีนี้ โดยจะได้แรงหนุนสำคัญจากตลาดในเอเชียถึง 2.06 ล้านคัน เอาชนะยอดขายในอมริกาเหนือและแซงขึ้นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของฮอนด้า เนื่องจากมีจำนวนผู้บริโภคชาวจีนที่นิยมชมชอบในรถยนต์แบรนด์ฮอนด้าเพิ่มมากขึ้น
บริษัทคาดการณ์ว่า จะขายรถยนต์ได้ 1.92 ล้านคันในตลาดอเมริกาเหนือ ลดลง 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากรถรุ่นแอคคอร์ดที่เคยเป็นรุ่นขายดีมานานเสื่อมความนิยมลงในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ฮอนด้าจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการเร่งผลิตรถประเภท SUV เพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ถึงแม้ยอดขายโดยรวมจะส่งสัญญาณชะลอตัวให้เห็นหลังจากฟื้นตัวบูมขึ้นมาพักใหญ่
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่างมาสด้าก็อยู่ในแผนยุทธศาสตร์เดียวกัน โดยจากการประกาศเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ว่า บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตรถ SUV ที่ญี่ปุ่น ขณะที่มีการปรับปรุงโรงงานในต่างประเทศเพื่อให้สามารถเพิ่มการผลิตรองรับความต้องการของตลาด
โดยทางมาสด้าที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 5 ของญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า จะมีกำไรจากผลประกอบการเพิ่มขึ้น 19% ในปีงบประมาณนี้ เนื่องจากคาดว่ายอดขายในอเมริกาเหนือจะปรับสูงขึ้น เพื่อช่วยชดเชยกับปีที่แล้วที่กำไรลดลง.