ยุโรปอ่วม เจอต้านล็อกดาวน์แม้ระบาดรอบสอง
ลอนดอน – ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งขึ้นทั่วยุโรป รัฐบาลหลายประเทศกำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในความพยายามที่จะออกมาตรการคุมเข้ม โดยหลายเมืองใหญ่แสดงการต่อต้านคำแนะนำให้ล็อกดาวน์ในช่วงนี้
หลายเมืองในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สเปน ต่อต้านคำสั่งบริหารจากส่วนกลางที่ให้มีมาตรการคุมเข้มมากขึ้น โดยการเจรจาเคร่งเครียดดำเนินมาหลายวันขณะที่การติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น
ในเมืองแมนเชสเตอร์ ทางเหนือของอังกฤษ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันถูกนายกเทศมนตรีแอนดี เบิร์นแฮมถล่มอย่างต่อเนื่องเนื่องจากพยายามจะยกระดับเมืองจากเทียร์ 2 เป็นเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับเตือนภัยร้ายแรงที่สุด
“ หากไม่สามารถบรรข้อตกลงได้ ผมจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงเพื่อปกป้องโรงพยาบาลของแมนเชสเตอร์และ คุ้มครองชีวิตของชาวเมืองแมนเชสเตอร์” นายกฯจอห์นสันระบุเมื่อวันที่ 16 ต.ค. โดยขอให้เบิร์นแฮมทบทวนสถานะของเขาและทำตามคำแนะนำของรัฐบาล
แต่เบิร์นแฮมต่อต้านความพยายามของรัฐบาลที่จะยกระดับมาตรการคุมเข้มของเมือง โดยขอให้มีมาตการทางการเงินเพื่อปกป้องแรงงานพลัดถิ่นในเมืองภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น
ในกรุงลอนดอน นายกเทศมนตรีซาดิก ข่านเรียกร้องให้มีมาตรการคุมเข้มขึ้นหลายวันก่อนที่จอห์นสันจะประกาศ
ขณะที่ในลิเวอร์พูล แลงคาสเตอร์และพื้นที่อื่นๆ มีการทำข้อตกลงกับรัฐบาลก่อนช่วงสุดสัปดาห์ โดยผู้บริหารเมืองหลายคนแสดงท่าทีไม่พอใจในคำสั่ง
สถานการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วยุโรป ผู้นำหลายประเทศประสบความยุ่งยากที่จะยระดับมาตรการคุมเข้มเพื่อชะลอการระบาดของโควิด-19
โดยช่วงต้นเดือนต.ค. ศาลกรุงมาดริดยกคำร้องปฏิเสธกฎหมายล็อกดาวน์ของรัฐบาลสเปนในเมืองหลวง ทำให้ชาวเมืองหลายล้านคนสงสัยว่าพวกเขาสามารถเดินทางในช่วงวันหยุดประจำชาติได้หรือไม่
และในเยอรมนี คำสั่งศาลก่อปัญหาให้กับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ที่พยายามจะออกมาตรการเพื่อชะลอการแพร่ระบาด ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยศาลกรุงเบอร์ลิน ดูเหมือนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลและอยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มเจ้าของธุรกิจ เพราะมีคำตัดสินให้ระงับมาตรการเคอร์ฟิวที่ส่งผลกระทบกับบาร์และร้านอาหารในเมือง
“ ไม่ชัดเจนว่าการปิดร้านขายอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลา 23.00 น. – 06.00 น.จะเป็นการต่อสู้กับโรคระบาด” ศาลระบุ ดังนั้น มาตรการที่บังคับใช้ตั้งแต่ 10 ต.ค. ถือเป็นการรุกล้ำเสรีภาพของอุตสาหกรรมบริการ
เจนส สปาห์น รมว.สาธารณสุขเยอรมนีระบุว่า เขารู้สึกผิดหวังมากกับคำตัดสินของศาล โดยระบุว่า “ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่ส่วนตัวและสาธารณะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการติดเชื้อมากขึ้น”
ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงแห่งฝรั่งเศสจับตามองสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุโรปอย่างใกล้ชิด หลังจากเขาประกาศมาตรการเคอร์ฟิวในกรุงปารีสและอีกหลายเมืองใหญ่ตั้งแต่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่เจอการคัดค้านแผนควบคุมการระบาดของไวรัสแต่อย่างใด
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วยุโรป ทั้งสหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และอีกหลายประเทศ มียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนต.ค. โดยบรรดาผู้นำเตือนว่า สถานการณ์การระบาดอาจรุนแรงยิ่งขึ้นในฤดูหนาวที่จะถึงนี้