โควิด-19 คร่าชีวิตทั่วโลกกว่า 1 ล้านคน
มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกทะลุ 1 ล้านราย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าตัวเลขนี้อาจเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไปและมีแนวโน้มว่าตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้
ผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาอย่างน้อย 1,000,555 ราย เป็นตัวเลขของฝันร้ายในโลกที่ต่อสู้มานานหลายเดือนกับไวรัสที่อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นของจีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ถึงแม้จะมีมาตรการปิดพรมแดนและการกักตัว แต่ไวรัสได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก และ WHO ประกาศให้เป็นการระบาดครั้งใหญ่ในเดือนมี.ค.
โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ใน 4 ประเทศคือสหรัฐฯ (205,031) บราซิล (142,058) อินเดีย (95,542 ) และเม็กซิโก (76,430) จากข้อมูลของม.ฮอปกินส
สัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตเกิน 200,000 ราย มากกว่าทุกประเทศ หลังจากมีการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดเมื่อกว่า 6 เดือนก่อน ไวรัสโคโรนาได้แพร่ระบาดไปเกือบทุกประเทศ และทำให้มีผู้ติดเชื้อกว่า 33 ล้านรายทั่วโลก การระบาดส่งทำให้ต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ ปิดทำการธุรกิจและโรงเรียน สั่นคลอนระบบเศรษฐกิจทั่วโลก และทำให้หลายล้านคนตกงาน
“ 1 ล้านคนเป็นตัวเลขที่เลวร้ายมาก และผมคิดว่าเราจำเป็นต้องสะท้อนเรื่องนี้ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่หลัก 2 ล้าน” ดร.ไมค์ ไรอัน ผอ.โครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา
จำนวนผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในสหรัฐฯ โดยตัวเลขเพิ่มขึ้นอีกใน 27 รัฐจาก 50 รัฐ และมีรายงานผู้ติดเชื้อ 316,000 รายใน 7 วันที่ผ่านมาจนถึง 27 ก.ย. สูงที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากการวิคราะห์ข้อมูลของรอยเตอร์และข้อมูลประจำเขต
โดยดร.แอนโธนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อของสหรัฐฯให้สัมภาษณ์สื่อว่า ประเทศยังไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดี
“ มีหลายรัฐที่เริ่มมีสัญญาณว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และมีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นด้วย และแม้ผมจะไม่อยากให้เกิดชึ้น แต่เราอาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก”
ขณะเดียวกัน อินเดียกำลังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเข้าใกล้สหรัฐฯเข้าไปทุกที โดยอินเดียเริ่มมีการแพร่ระบาดจากเมืองใหญ่อย่างมุมไบและกรุงนิวเดลี จนถึงตอนนี้แพร่ระบาดไปชนบท ซึ่งมีระบบสาธารณสุขที่ไม่ได้มาตรฐาน
ในยุโรปก็มีการระบาดระลอกสองหลังยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ และรัฐบาลหลายประเทศให้ประชาชนกลับไปทำงานตามปกติ ทำให้ปัจจุบัน มีการปรับแก้ไขคำแนะนำและกำหนดมาตรการคุมเข้มใหม่เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส แต่ถูกต่อต้านจากประชาชนในบางพื้นที่ ในสหราชอาณาจักร รัฐบาลกำหนดค่าปรับสำหรับผู้ละเมิดมาตรการ
ในอาเซียน อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งสามารถควบคุมการระบาดได้ก่อนหน้านี้ ต้องพยายามควบคุมการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในรัฐซาบาห์ และทำให้ประชาชนในรัฐซาบาห์เกือบ 1 ล้านคนอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด
เมียนมาเองก็กำลังประสบปัญหาตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเคยคิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก่อนหน้านี้
จนถึงตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงเกิน 33 ล้านรายทั่วโลก และมีผู้ป่วยที่หายดีแล้วเกือบ 23 ล้านราย