หลายชาติยุโรปคุมเข้มอีกสู้ไวรัส
ปารีส – เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลายชาติสำคัญในยุโรป ทั้งฝรั่งเศส เยอรมนี และสเปนประกาศมาตรการคุมเข้มยิ่งขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยฝรั่งเศสขยายคำสั่งให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยทั่วกรุงปารีส และยกระดับพื้นที่ขึ้นเป็น “ระดับสีแดง” รวมทั้งหมด 21 พื้นที่ เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศพุ่งสูงเกิน 6,000 ราย
ขณะที่เยอรมนีประกาศค่าปรับจำนวน 50 ยูโรกับผู้ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่กำหนด และระบุว่า แฟนกีฬาจะยังไม่ได้เข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนามกีฬาจนถึงเดือนธ.ค.เป็นอย่างน้อย
สเปนระบุว่า เด็กในวัย 6 ปีขึ้นไปต้องสวมหน้ากากปิดจมูกและปากในโรงเรียนที่สเปน และสหราชอาณาจักรกลับลำคำประกาศก่อนหน้านี้ที่ระบุว่านักเรียนวัย 11 – 18 ปีไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย
หลายประเทศทั่วโลกกำลังต่อสู้เพื่อปรับสมดุลตามความต้องการของประชาชนเพื่อให้สามารถกลับไปทำงาน หรือไปเรียนหนังสือได้ ในขณะที่ยังคงควบคุมการแพร่ระบาดได้ด้วย หลายคนกลัวที่จะต้องกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้ง
จนถึงตอนนี้ โควิด-19 คร่าชีวิตผู้ป่วยทั่วโลกไปแล้วกว่า 826,000 ราย นับตั้งแต่ไวรัสอุบัติขึ้นครั้งแรกช่วงปลายปีที่แล้ว และทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 24 ล้านราย
การเดินทางถูกกล่าวโทษว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากขึ้นในยุโรป ความพยายามที่จะกอบกู้การท่องเที่ยวยังไม่เพียงพอสำหรับฝรั่งเศส โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเยือนกรุงปารีสในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ลดลงน้อยกว่า 14 ล้านราย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ เราเห็นการระบาดที่ทำลายการท่องเที่ยวที่เฟื่องฟูและมีพลังก่อนหน้านี้ ” Valerie Pecress ประธานแคว้นปารีสกล่าว
ผลกระทบจากโควิด-19 เห็นชัดเจนในอุตสาหกรรมที่ผูกติดกับการเดินทาง โดยโรลส์รอยซ์ บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบินสูญรายได้ 5,400 ล้านปอนด์ในเดือนม.ค.- มิ.ย. ขณะที่สายการบินแอร์นิวซีแลนด์ขาดทุน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีงบประมาณที่ผ่านมา
ขณะที่หลายประเทศมีมาตรการคุมเข้มการเดินทางมากขึ้น โดยสหราชอาณาจักรระบุเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ว่า กำหนดให้นักเดินทางจากสาธารณรัฐเช็ก , สวิตเซอร์แลนด์ และจาไมก้าต้องกักตัวเองตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลแห่งเยอรมนีกำหนดกรอบที่เข้มงวดขึ้นด้วยการระบุว่า “ เราขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงเท่าที่จะทำได้”
กรุงปารีสเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในฝรั่งเศส โดยตัวเลขทางการที่เผยแพร่ในฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ชี้วา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 5,400 รายในรอบ 24 ชม.สูงที่สุดนับตั้งแต่พ.ค.เป็นต้นมา
Sylvie Soufir โต้ว่ารัฐบาลฝรั่งเศสควรสั่งให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยมานานแล้ว และนายกรัฐมนตรี Jean Castex เตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจมีมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง