‘ทรัมป์’ เล็งใช้ Fast Track ได้วัคซีนก่อนเลือกตั้ง
วอชิงตัน – รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาใช้วิธีการ Fast Track ในการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีการพัฒนาในสหราชอาณาจักรเพื่อการใช้งานในสหรัฐฯ ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย. จากรายงานของสื่อไฟแนนเชียลไทม์ ที่อ้างอิงจากแหล่งข่าวซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในแผนการนี้
โดยทางเลือกหนึ่ง จากรายงานของสื่อไฟแนนเชียลไทม์ จะเป็นการใช้ “อำนาจฉุกเฉิน” ขององค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ เพื่อให้ได้วัคซีนนี้ ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัท Astra Zeneca
บริษัท Astra Zeneca กล่าวกับสื่อว่ายังไม่มีการพูดคุยในประเด็นความเร่งด่วนฉุกเฉินที่ต้องใช้อำนาจที่มีเพื่อให้ได้มาซึ่งวัคซีนกับรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่โฆษกของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรวมถึงองค์การอาหารและยา (FDA) ให้สัมภาษณ์สื่อว่า การกล่าวหาใดๆเรื่องการใช้อำนาจเร่งด่วนฉุกเฉินเพื่อให้ได้วัคซีนก่อนเลือกตั้งนั้น “เป็นเรื่องไม่จริงที่สุด”
การเปิดเผยประเด็นล่าสุดมีขึ้นท่ามกลางรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ทรัมป์จะประกาศใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อใช้พลาสมาในการรักษาโควิด-19
เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ทรัมป์กล่าวหาโดยไร้หลักฐานว่า FDA อยู่ข้างบริษัทยาในการทดสอบวัคซีนไวรัสโคโรนาและการรักษาเพื่อเหตุผลทางการเมือง
แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครตโต้กลับทรัมป์ด้วยการทวีตบนทวิตเตอร์และเรียกร้องให้ FDA อย่ายอมอ่อนข้อให้กับแรงกดดันทางการเมืองจากทำเนียบขาว เพราะการอนุมัติยาหรือวัคซีนต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยและประสิทธิภาพเท่านั้น
เธอเสริมว่า ความพยายามของทรัมป์ที่ที่จะนำตัวเองเข้าไปอยู่ในการตัดสินใจของ @US_FDA เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของชาวอเมริกันทุกคน
ทั้งนี้ ทางทำเนียบขาว , FDA และสำนักงานของเพโลซียังไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อในประเด็นล่าสุด
หากมีวัคซีนใช้งานก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจทำให้ทรัมป์ได้คะแนนความนิยมตีตื้นขึ้นมาในประเด็นการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ในระหว่างการประชุมเมื่อวันที่ 20 ส.ค. อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่แข่งของทรัมป์จากพรรคเดโมแครตกล่าวโจมตีการรับมือของทรัมป์กับวิกฤตสาธารณสุขครั้งนี้ โดยเรียกว่าเป็น “การรับมือที่แย่ที่สุดของชาติใดๆในโลก”
จนถึงวันที่ 22 ส.ค. โรคระบาดโควิด-19 ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 5.6 ล้านรายในสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ โดยในวันที่ 21 ส.ค. สหรัฐฯรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,100 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสหรัฐฯสูงเกิน 175,000 ราย