รัฐวิกตอเรียประกาศเคอร์ฟิว
เมลเบิร์น : เมื่อวันที่ 2 ส.ค. รัฐวิกตอเรียในออสเตรเลียประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติ โดยรัฐบาลท้องถิ่นประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืนเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
โดยแดเนียล แอนดรูว์ส มุขมนตรีของรัฐวิกตอเรียระบุว่า เมืองเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ จะปรับระดับการคุมเข้มการแพร่ระบาดในชุมชนขึ้นเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับที่ “สูงจนยอมรับไม่ได้ ” จนถึงวันที่ 13 ก.ย.
ตั้งแต่คืนวันที่ 2 ส.ค.ไปอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ผู้อาศัยในเมลเบิร์นจะต้องเจอกับมาตรการเคอร์ฟิว ห้ามออกจากเคหสถานในเวลา 20.00 น. จนถึง 05.00 น. โดยพลเมืองไม่สามารถเดินทางได้เกิน 5 กม.จากบ้าน และจำกัดให้มีการออกกำลังกายได้ 1 ชม./วัน
สมาชิก 1 คนจากแต่ละครัวเรือนจะสามารถออกไปซื้อของใช้จำเป็นในการดำรงชีพในแต่ละวัน และอยู่ในรัศมี 5 กม.จากบ้านเช่นกัน
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในเมลเบิร์นจะเปลี่ยนมาทำการเรียนการสอนออนไลน์ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 5 ก.ย.เป็นต้นไป หลังจากกลับมาเปิดเรียนได้ไม่กี่สัปดาห์ ขณะที่ร.ร.อนุบาลและศูนย์ดูแลเด็กเล็กจะปิดตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.
จะมีการห้ามงานแต่งงานในเมืองด้วย โดยหลังจากการระบาดรอบแรก การแต่งงานในออสเตรเลียจำกัดให้มีเพียง 5 คนเท่านั้นในพิธีแต่งงาน “นี่เป็นการตัดสินใจเพื่อให้เราปลอดภัย” แอนดรูว์สกล่าว
เขาเสริมว่า จะมีการประกาศมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ทำงานในวันที่ 3 ส.ค. โดยแนะนำให้ธุรกิจที่ไม่จำเป็นปิดบริการ
โดยในวันที่ 2 ส.ค. รัฐวิกตอเรียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 671 ราย และมีผู้เสียชีวิต 7 ราย
นอกเมืองเมลเบิร์น ในพื้นที่อื่นของรัฐวิกตอเรียจะขยับเป็นมาตรการล็อกดาวน์ระดับ 3 ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 5 ส.ค. โดยอนุญาตให้ประชาชนออกจากบ้านได้เฉพาะการไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ ไปพบแพทย์ และซื้อของใช้จำเป็นเท่านั้น
ขณะที่ในรัฐอื่นๆของออสเตรเลีย ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อเลยแม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทุกรัฐมีการสั่งห้ามนักเดินทางจากรัฐวิกตอเรียและเมืองซิดนีย์ (ซึ่งเป็นอีกจุดการแพร่ระบาด) เข้ารัฐ
จนถึงวันที่ 2 ส.ค.ออสเตรเลียมีจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมจากโควิด-19 เกือบ 18,000 ราย และมีผู้เสียชีวิต 208 ราย จากจำนวนประชากรทั่วประเทศ 25 ล้านคน