สหรัฐฯยอดตายพุ่ง ผู้เชี่ยวชาญแนะชัทดาวน์อีกรอบ
(CNN) – ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด -19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ทำให้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในประเด็นการเปิดโรงเรียน หรือการชัทดาวน์เศรษฐกิจอีกครั้ง
มีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดโควิด-19 เกิน 1,000 รายติดต่อกัน 4 วันในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 146,000 รายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส
และบรรดานักวิจัยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสมากถึง 175,000 รายภายในวันที่ 15 ส.ค. จากการคาดการณ์ที่ตีพิมพ์โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ
จำนวนผู้ป่วยที่ล้นโรงพยาบาลและการตรวจทดสอบหาเชื้อที่ล่าช้า ทำให้ผู้นำท้องถิ่นหลายคน รวมทั้ง ซิลเวสเตอร์ เทิร์นเนอร์ นายกเทศมนตรีเมืองฮุสตัน และ เอริก การ์เซตติ นายกเทศมนตรีเมืองลอสแองเจลีส ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีคำสั่งให้ประชาชนอยู่บ้านอีกครั้ง
โดยมาตรการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คน ในหลากหลายสาขา ทั้งในด้านการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ครู พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ที่ได้ร่วมลงนามในจดหมายที่ขอให้ผู้นำชัทดาวน์ประเทศอีกครั้ง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส
“ในตอนนี้ เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อาจทำให้มีชาวอเมริกันเสียชีวิตได้มากกว่า 2 แสนรายภายในวันที่ 1 พ.ย. เนื่องจากในหลายรัฐ ประชาชนยังคงดื่มในบาร์ได้ เข้าร้านตัดผมได้ ทานอาหารในร้านอาหาร สัก นวด และใช้ชีวิตตามปกติได้ตามความพอใจ ซึ่งไม่ใช่กิจกรรมที่จำเป็นเลย” จากข้อความที่ระบุในจดหมาย ซึ่งถูกส่งให้ทั้งคณะทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ , สมาชิกสภาคองเกรสและบรรดาผู้ว่าการรัฐ
จากตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่พุ่งขึ้น ทำให้มีอย่างน้อย 4 รัฐที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงทุบสถิตินับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.เป็นต้นมาคือรัฐแคลิฟอร์เนีย จอร์เจีย โอเรกอน และฮาวาย
โดยรัฐแคลิฟอร์เนียมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ถึง 159 รายในวันที่ 24 ก.ค. เป็นสถิติสูงสุดในวันเดียวนับตั้งแต่มีการระบาดในรัฐ มากกว่าครึ่งอยู่ในลอสแองเจลิส ซึ่งมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 4,260 ราย จนถึงตอนนี้ รัฐมีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 446,450 ราย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส
รัฐจอร์เจียก็มีผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดทุบสถิติ โดยมีตัวเลขอย่างน้อย 4,813 รายในวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ในรัฐจอร์เจียมีผู้ติดเชื้อสะสมมากถึง 165,180 ราย
รัฐโอเรกอนรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในวันที่ 24 ก.ค.อยู่ที่ 9 ราย เป็นสถิติสูงสุดในวันเดียวนับตั้งแต่มีการระบาด จนถึงตอนนี้ในรัฐโอเรกอนมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 16,100 ราย
เป็นวันที่สองติดต่อกันที่รัฐฮาวายมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 60 รายในวันเดียวกัน จนถึงตอนนี้ รัฐฮาวายมีผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 1,620 ราย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส
ขณะที่ในรัฐฟลอริดา ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 80% นับตั้งแต่ 4 ก.ค.เป็นต้นมา ทำลายสถิติยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่หลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วทั้งรัฐ มีโรงพยาบาลอย่างน้อย 50 แห่งที่ไม่มีเตียงในห้องไอซียูเพียงพอ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อายุน้อยที่สุดคือ 9 ปีเท่านั้น ทางครอบครัวระบุว่า ไม่ทราบว่าเธอติดเชื้อได้อย่างไร เพราะเธออยู่บ้านตลอดในช่วงฤดูร้อนนี้
ในรัฐเท็กซัส ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากทุบสถิติในสัปดาห์ที่ผ่านมา แพทย์ในโรงพยาบาลอาจตัดสินใจส่งผู้ป่วยกลับบ้านให้ไปเสียชีวิตอย่างสงบกับคนที่รักเนื่องจากมีเตียงและอุปกรณ์จำกัดในโรงพยาบาล
บรรดาครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนทั่วสหรัฐฯแสดงท่าทีคัดค้านอย่างจริงจังกับคำสั่งเปิดโรงเรียนในเดือนส.ค.เนื่องจากไวรัสแพร่ระบาดอย่างควบคุมไม่ได้ในชุมชนอเมริกันจำนวนมาก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า เขากดดันให้ผู้ว่าการรัฐเปิดโรงเรียน เพื่อผลักดันขับเคลื่อนให้สหรัฐฯดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ
จากคำแนะนำใหม่เกี่ยวกับการศึกษาและการดูแลเด็กที่โพสต์สัปดาห์ที่แล้ว ทาง CDC ระบุว่า เด็กๆไม่เจ็บป่วยมากนักจากไวรัส และมีแนวโน้มน้อยมากที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อ แต่ผลวิจัยของเกาหลีใต้พบว่า เด็กโตอายุระหว่าง 10 – 19 ปี สามารถแพร่เชื้อไวรัสภายในครัวเรือนได้มากเท่ากับผู้ใหญ่
“ เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับระบบสาธารณสุขของเราที่ต้องเปิดโรงเรียนในฤดูใบไม้ร่วงนี้” ดร.โรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผอ.CDC ระบุ “การปิดโรงเรียนขัดขวางวิถีชีวิตปกติของเด็กๆและผู้ปกครอง และมีผลกระทบด้านลบทางสาธารณสุขกับเด็กๆของเรา ทาง CDC เตรียมพร้อมทำงานร่วมกับโรงเรียนเพื่อให้มีการเปิดเรียนอย่างปลอดภัยขณะที่เป็นการปกป้องกลุ่มอ่อนแอที่สุด ”