สินค้าหรูกลับมาบูมหลังทรุดหนักปีก่อน
ลูกค้าที่มีช่วงวัยในยุคมิลเลนเนียลและผู้ที่ซื้อสินค้าตามกระแสที่จีน หนุนให้เศรษฐกิจสินค้าราคาแพงกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง หลังซบเซานานถึง 1 ปี
บริษัท Bain & Company ได้ทำแบบสำรวจและพบว่า เศรษฐกิจโดยรวมของตลาดราคาแพง ซึ่งรวมทั้งสินค้าและบริการราคาแพง เติบโตขึ้น 5% หรือราว 46 ล้านล้านบาท ทั่วโลกในปีนี้
สัดส่วนราว 85% จากการเติบโตในตลาดดังกล่าวมาจากลูกค้าในยุคมิลเลนเนียล ซึ่งเกิดในช่วงปี 2523 จนถึงปี 2543
ในขณะเดียวกัน ลูกค้าชาวจีนที่ซื้อสินค้าตามกระแสที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ยอดการขายในจีนพุ่งขึ้นเกือบ 15% ภายในปีนี้ โดยทั้งหมดมีมูลค่ารวมแล้วราว 769,908 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. คลาวเดีย ดี อาร์ปีซิโอ หุ้นส่วนในบริษัท Bain % Company และหนึ่งในนักเขียนนำสำหรับรายงานซึ่งถูกตีพิมพ์เมื่อสัปดาห์ก่อน ให้สัมภาษณ์กับทางซีเอ็นบีซีว่า “ แบรนด์ต่าง ๆ กำลังปรับเปลี่ยนกฎของการแข่งขัน เพื่อตอบสนองลูกค้า โดยรวมถึงการดูแลลูกค้าทั้งหมดให้เหมือนลูกค้าในท้องที่ และต้องไม่ใช่แค่เพียงเพราะการซื้อขาย ซึ่งถือว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ”
สำหรับตลาดในเอเชียที่เหลือ โดยไม่รวมจีนแผ่นดินใหญ่และญี่ปุ่น เติบโตขึ้น 6% ทางด้านตลาดในยุโรปเองก็เติบโตขึ้น 6% เช่นกัน ในขณะที่อเมริกาทั้งเหนือและใต้ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 2%
ยอดขายของใช้ส่วนบุคคลราคาแพงแตะเพดานยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยจำนวนเงิน 1.08 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วจากการกลับมาใช้จ่ายของชาวจีน ทั้งในประเทศและที่ต่างประเทศ การเติบโตในตลาดดังกล่าวถือว่าเพิ่มขึ้นและขับเคลื่อนโดยยอดปริมาณที่เพิ่มขึ้น มากกว่าราคาสินค้า
ยอดการขายสินค้าออนไลน์ในภาคสินค้าราคาแพงเพิ่มขึ้น 24% ในปีนี้ อ้างอิงจากรายงานระบุว่า เครื่องประดับถือเป็นอันดับ 1 ในหมวดหมู่สินค้าออนไลน์ที่ถูกขาย แซงหน้าเสื้อผ้าราคาแพงได้ นอกจากนี้สินค้าเสริมความงาม เครื่องเพชร และนาฬิกา ยังมียอดขายจากหน้าร้านที่เติบโตสูงขึ้น ราว 8%
แบรนด์ราคาแพงต่างผลิตเสื้อผ้าสตรีทแวร์ จับกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นและประสบความสำเร็จในตลาดหรูหราเช่นกัน โดยมีสินค้าอย่าง เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ และแจ็คเก็ต ที่ช่วยยืนยันถึงความนิยมในหมู่วัยรุ่นปัจจุบัน
Kering บริษัทโฮลดิงที่ครอบคลุมแบรนด์ต่าง ๆ อย่าง กุชชี่ และเซนต์ ลอเรนต์ รายงานว่า ยอดขายของแบรนด์หรูในไตรมาสที่ 3 ถือว่าเพิ่มมากขึ้น เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา LVHM ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าราคาแพงที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเป็นเจ้าของทั้ง หลุยส์ วิตตอง คริสเตียน ดิออร์ และโมเอท์ แอนด์ แชนดอน แชมเปญจ์ ฯลฯ ก็มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสที่ 3 ทางบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 12%.