ยุโรปเปิดประเทศ ห้ามสหรัฐฯเข้า
ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป นักเดินทางจาก 14 ประเทศจะสามารถเดินทางเข้าสหภาพยุโรปได้ แต่ไม่มีสหรัฐฯอยู่ในรายชื่อประเทศเหล่านี้
ที่ผ่านมา 30 ประเทศในยุโรป ( 26 ประเทศเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป หรือ อียู) ปิดพรมแดนที่ติดต่อกับทวีปอื่นๆ ในเดือนมี.ค. เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่เริ่มให้ธุรกิจเปิดทำการแล้วเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และประเทศเหล่านี้ก็พร้อมรับนักเดินทางต่างชาติ โดยตัวเลขลดลงกว่าช่วงก่อนการระบาดอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. รัฐบาลอียูตัดสินใจเปิดพรมแดนภายนอกรับนักเดินทางจากประเทศแอลจีเรีย ตูนีเซีย ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ จอร์เจีย ญี่ปุ่น มอนเตเนโกร โมรอกโก รวันดา เซอร์เบีย เกาหลีใต้ ประเทศไทย และอุรุกวัย ขณะที่นักเดินทางจากจีนจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าอียูได้เช่นกัน หากจีนประกาศว่าจะยอมรับนักเดินทางจากยุโรปก่อน
มีการตัดสินใจเช่นนี้บนพื้นฐานของความปลอดภัยของสถานการณ์สาธารณสุขของประเทศต้นทาง และจะมีการทบทวนพิจารณาเป็นประจำ
สำหรับแต่ละประเทศในลิสต์รายชื่อ อียูระบุว่า มีหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติคือ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด -19 รายใหม่ใน 14 วันล่าสุด และต่อจำนวนประชากร 1 แสนคนต้องใกล้เคียง หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอียู นอกจากนี้ ควรมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ทรงตัว หรือลดลงในช่วงเวลานี้ เมื่อเทียบกับ 14 วันก่อนหน้า และจำเป็นต้องมีการพิจารณามาตรการรับมือโดยรวมกับโควิด -19 โดยมีการให้คำแนะนำนี้กับประเทศสมาชิกอียูทั้งหมด
ในบริบทนี้ รัฐบาลยุโรปได้รับคำแนะนำไม่ให้ยกเลิกมาตรการคุมเข้มการเดินทางกับประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์รายชื่อ จนกว่าจะมีการตัดสินใจในลักษณะการประสานงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ข้อผูกพัน หมายความว่าประเทศสมาชิกของอียูสามารถเปิดประเทศให้นักเดินทางจากประเทศใดเข้าก็ได้ตามต้องการ โดยคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารสูงสุดของยุโรป ย้ำว่าควรมีการเปิดพรมแดนภายนอกในลักษณะความร่วมมือเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนวุ่นวายนการเดินทาง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละประเทศด้วย
ปัจจุบัน สหรัฐฯมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนามากที่สุดในโลก คือเกือบ 2.6 ล้านราย จากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส โดยสหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงทุบสถิติในช่วงไม่กี่วันมานี้ เนื่องจากมีการระบาดพุ่งขึ้นส่วนใหญ่ในรัฐทางใต้และตะวันตกของประเทศ โดยดร.แอนน์ ชูแชต รองผอ.ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบุเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ว่า ไวรัสแพร่ระบาดเร็วเกินไป และขยายตัวกินพื้นที่มากเกินไปจนยากที่สหรัฐฯจะควบคุมได้
ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระงับการเดินทางจากยุโรปเข้าสหรัฐฯ โดยในเวลานั้น อียูได้วิจารณ์การตัดสินใจของทรัมป์ว่า “เป็นการตัดสินใจแต่เพียงฝ่ายเดียว และไม่มีการปรึกษาหารือร่วมกัน ”