เกาหลีเหนือระเบิดตึกประสานงานเกาหลีใต้
เกาหลีเหนือระเบิดอาคารสำนักงานประสานงานเกาหลีเหนือ -ใต้ เป็นการส่งสัญญาณล่าสุดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีที่มีมายาวนานถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
โดยสื่อเกาหลีเหนือรายงานว่าอาคาร 4 ชั้น ที่ตั้งอยู่ในเมืองแกซองฝั่งเกาหลีเหนือในเขตปลอดทหารที่แบ่งแยกสองเกาหลีออกจากกัน ถูกทำลายราบด้วยระเบิดอานุภาพสูงในเวลา 14.50 น.ของวันที่ 16 มิ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น โดยสามารถมองเห็นควันดำลอยพวยพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าเหนืออาคารได้จากพรมแดนฝั่งเกาหลีเหนือไม่นานหลังจากนั้น
อาคารสำนักงานประสานงานเกาหลีเหนือ-ใต้แห่งนี้ถูกปิดไปตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. เนื่องจากมีการระบาดของไวรัสโคโรนา จากรายงานของกระทรวงรวมชาติในเกาหลีใต้ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้อยู่ในตึกแห่งนี้
แต่การทำลายอาคารซึ่งเกาหลีใต้เป็นผู้จ่ายเงินสร้างเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจรจาและตั้งอยู่บนแผ่นดินเกาหลีเหนือ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่อาจกลายเป็นจุดหักเหในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เคยให้ข้อผูกพันกันว่า จะ “เข้าสู่ยุคใหม่ของสันติภาพ”
เกาหลีเหนือตัดสินใจทำลายอาคารประสานงานเหนือ-ใต้ครั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้ หลังจากนักเคลื่อนไหวกลุ่มผู้แปรพักตร์ใช้บอลลูนลอยข้ามพรมแดนเข้ามาในเขตปลอดทหารของเกาหลีเหนือเพื่อโปรยใบปลิวต่อต้านเกาหลีเหนือ
“ การกระทำที่โง่เขลาทำร้ายศักดิ์ศรีของผู้นำสูงสุดของเรา” สำนักข่าว KCNA รายงานเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.
เกาหลีเหนืออ้างว่าการปล่อยใบปลิวเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดีคิมจองอึนและประธานาธิบดีมุนแจอินแห่งเกาหลีใต้ที่ทำไว้เมื่อปี 2561 ในการประชุมซัมมิตครั้งแรก ที่ทั้งสองตกลงที่จะยุติ “ การกระทำที่โหดร้ายและขจัดความรุนแรง รวมทั้งการกระจายเสียงผ่านลำโพงและการโปรยใบปลิว” ในพื้นที่ระหว่างพรมแดนของสองประเทศ เป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ชาวเกาหลีเหนือโดยทั่วไปจะเสพข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของประเทศ และการทำเช่นนั้นสามารถส่งผลร้ายแรงตามมา
ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หรือบลูเฮาส์เรียกการตัดสินใจระเบิดออฟฟิศนี้ว่า “ เป็นการทรยศต่อความคาดหวังของทุกคนที่ปรารถนาให้มีการปรับปรุงความสัมพันธ์ของสองเกาหลี และสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี” ขณะที่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ระบุว่า จับตามองกองทัพของเกาหลีเหนือและจะโต้ตอบอย่างเด็ดขาดกับการยั่วยุปลุกปั่นจากกองทัพใดๆ
คิมโยจอง น้องสาวประธานาธิบดีคิม และบางทีอาจเป็นผู้ทรงอิทธิพลอันดับสองของเกาหลีเหนือ เรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีเหนือลงโทษผู้แปรพักตร์ ซึ่งเธอเรียกว่า “คนทรยศ ” จากรายงานของสำนักข่าวของ KCNA เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเธอยังพูดเป็นนัยว่า สำนักงานประสานงานสองเกาหลีในเกาหลีเหนืออาจถูกทำลายลงอีกไม่นาน
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ใบปลิวอาจทำให้ผู้นำการเมืองเกาหลีเหนือไม่พอใจ และนำไปสู่เหตุการณ์ในวันที่ 16 มิ.ย. นักวิเคราะห์บางคนสันนิษฐานว่า เกาหลีเหนือใช้ประเด็นนี้เพื่อสร้างวิกฤต ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่เกาหลีเหนือเคยใช้มาก่อนหน้านี้เพื่อสร้างความรู้สึกที่ต้องเร่งให้มีการเจรจา หรือสร้างความบาดหมางระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้
ทางการเกาหลีใต้กำลังสอบสวนกลุ่มผู้แปรพักตร์ที่ส่งใบปลิว แต่ระบุว่าความพยายามที่จะตัดสินลงโทษพวกเขาอาจถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงในประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมีเสรีภาพในการแสดงออก
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ประธานาธิบดีมุนแห่งเกาหลีใต้ระบุว่า เป็นความจำเป็นที่เกาหลีเหนือควรหวนกลับไปสู่โต๊ะเจรจามากกว่าที่จะ “กลับไปสู่ช่วงเวลาของการเผชิญหน้ากันในอดีต ด้วยการตัดการสื่อสารและสร้างความตึงเครียดมากขึ้น ”
“เส้นทางที่สองเกาหลีต้องเดินนั้นชัดเจนมาก เหมือนเช่นแม่น้ำที่คดเคี้ยวแต่สุดท้ายก็ไหลลงสู่มหาสมุทร เกาหลีใต้และเหนือต้องมีศรัทธาในแง่ดีและเลือกก้าวแต่ละก้าวเพื่อนำชาติไปสู่การประนีประนอม สันติภาพ และการรวมชาติ ถึงแม้จะช้า แต่ก็อาจเป็นไปได้” ผู้นำเกาหลีใต้กล่าว
“ คำสัญญาที่จะสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีที่ประธานคิมจองอึนและผม ทำไว้ต่อหน้าประชาชนชาวเกาหลี 80 ล้านคน ไม่สามารถกลับคำได้ ”