จลาจลทั่วสหรัฐฯ เคอร์ฟิวหลายเมือง
มินนิอาโพลิส (รอยเตอร์ ) – เมื่อวันที่ 30 พ.ค. เหตุความไม่สงบปะทุขึ้นทั่วสหรัฐฯ และทำให้ต้องประกาศมาตรการเคอร์ฟิวในหลายเมืองใหญ่ โดยผู้ชุมนุมเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อแสดงความไม่พอใจการเสียชีวิตของชายผิวสีที่ถูกตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดคอเขาอย่างทารุณในเมืองมินนิอาโพลิส
เหตุประท้วงลุกลามไปที่เมืองอื่นอย่างลอสแองเจลิสไปจนถึงไมอามีและชิคาโก โดยผู้ชุมนุมต่างพากันตะโกนว่า “ผมหายใจไม่ออก” ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงข้อความสุดท้ายของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่เป็นเหยื่อทารุณกรรมของตำรวจ จากการประท้วงอย่างสงบลุกลามกลายเป็นการปิดถนน จุดไฟเผาและเข้าปะทะกับตำรวจปราบจลาจล โดยตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและใช้กระสุนยางเพื่อควบคุมความสงบ
ผู้ชุมนุมประท้วงที่ออกมาเดินขบวนเต็มถนนก่อให้เกิดวิกฤตในสหรัฐฯ หลังจากมีมาตรการล็อกดาวน์หลายสัปดาห์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้หลายล้านคนต้องว่างงานและส่งผลกระทบกับชุมชนคนกลุ่มน้อย
ในกรุงวอชิงตัน ผู้ชุมนุมหลายร้อยคนรวมตัวกันอยู่ใกล้อาคารสำนักงานใหญ่ของกระทรวงยุติธรรม โดยพากันตะโกนว่า “ชีวิตคนผิวสีมีค่า ” ต่อมาอีกหลายคนย้ายไปชุมนุมที่หน้าทำเนียบขาว และมีการเผชิญหน้ากับตำรวจที่ถือโล่ หลายนายอยู่บนหลังม้า
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า หากผู้ประท้วงบุกเข้ามาถึงรั้ว “เราจะต้อนรับด้วยสุนัขที่ดุร้ายที่สุด และอาวุธที่เชื่อว่าจะรุนแรงที่สุดที่ผมเองไม่เคยเห็นมาก่อน ”
มีการประกาศเคอร์ฟิวในหลายเมืองใหญ่ที่เกิดเหตุประท้วงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งแอตแลนตา ลอสแองเจลิส ฟิลาเดลเฟีย เดนเวอร์ ซินซินนาติ พอร์ตแลนด์ โอเรกอน และหลุยส์วิลล์ เคนทักกี โดยการประท้วงยังเกิดขึ้นในดัลลาส ชิคาโก ซีแอตเทิล ซอลต์เลคซิตี้ และคลีฟแลนด์
กองกำลังพิทักษ์ชาติ หรือ National Guard เข้าประจำการที่มินนิอาโพลิสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา หลังจากมีการวางเพลิงต่อเนื่องถึง 4 คืน มีการก่อจลาจลและทำลายทรัพย์สินในหลายพื้นที่ของเมืองมินนิอาโพลิส ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐมินนิโซตา และเซนต์พอล เมืองหลวงของรัฐ
นอกจากนี้ ยังได้เคลื่อนกำลังเข้าประจำการตามคำสั่งของผู้ว่าการรัฐอื่น ทั้งโอไฮโอ มิสซูรี วิสคอนซิน และเทนเนสซีด้วย
แม้จะมีรายงานข่าวว่า เดเรค ชอวิน ตำรวจผู้ก่อเหตุทารุณจอร์จ ฟลอยด์จนเสียชีวิตถูกไล่ออกจากราชการพร้อมตำรวจอีก 3 นาย ที่เข้าจับกุมเขาด้วยกัน และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมแล้วก็ตาม แต่ความไม่พอใจจากเหตุการณ์นี้กลับลุกลามไปทั่วประเทศ
ในเมืองชิคาโก ถนนหลายสายเต็มไปด้วยผู้ประท้วงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ภาพฟุตเทจจากโทรศัพท์มือถือที่สื่อรอยเตอร์รายงานแสดงภาพรถ SUV ถูกจุดไฟเผา และชายคนหนึ่งเผาธงชาติอเมริกัน และมีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจ
ขณะที่ในบรูคลินของนครนิวยอร์ก รถตำรวจพุ่งเข้าหากลุ่มผู้ประท้วงในวันที่สองของความรุนแรงหลังจากมีการจับกุมผู้ประท้วงกว่า 200 คนเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา
“ ตำรวจอาจฆ่าพวกเขาได้ และเราไม่ทราบว่ามีกี่คนที่บาดเจ็บ” ส.ส.อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ- คอร์เตซ จากพรรคเดโมแครตโพสต์บนทวิตเตอร์ โดยเรียกร้องให้ตำรวจนิวยอร์กดำรงความยุติธรรม
สื่อลอสแองเจลิสไทม์รายงานว่า ผู้ประท้วงในลอสแองเจลิสปะทะกับตำรวจในเขตแฟร์เฟ็กซ์ เนื่องจากฝูงชนพยายามบุกเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์ CBS และถูกตำรวจกับเจ้าหน้าที่รปภ.ผลักดันออกมา
ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า มีการบุกเข้าไปปล้นสินค้าในห้างสรรพสินค้า The Grove ในย่านแฟร์เฟ็กซ์ รวมทั้งห้าง Nordstrom ร้านเรย์-แบนและแอปเปิลสโตร์ และร้านค้าในย่านเบเวอร์ลีย์ ฮิลล์ส
นายกเทศมนตรีเอริก การ์เซตติของลอสแองเจลิสกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ นี่ไม่ใช่การประท้วงแล้ว นี่เป็นการทำลายทรัพย์สิน นี่เป็นการทำลายล้าง ”