ญี่ปุ่นเน้นโครงสร้างพื้นฐานหนุนท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะของญี่ปุ่นสั่งการให้มีการกระตุ้นการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐรอบใหม่
หลังจากพรรคของเขาชนะการเลือกตั้งในวุฒิสภา นายกฯ อาเบะไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการในครั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งขึ้นเกือบ 4% และเงินเยนอ่อนค่าลงหลังจากชัยชนะอย่างถล่มทลายในวุฒิสภา ซึ่งส่งผลให้เขามีโอกาสที่จะร่างนโยบายทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
ยอดออเดอร์สั่งเครื่องจักรที่ลดลงอย่างไม่คาดคิดชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นบางอย่างเพื่อก้าวข้ามปัญหาการลงทุนที่ซบเซาลงไปได้ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์แสดงความกังวลว่า การที่นายกฯ อาเบะมุ่งเน้นที่การใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐานอาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างของประเทศ จากจำนวนประชากรและแรงงานที่ลดลง
สิ่งก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ยิ่งสร้างแรงกดดันมากยิ่งขึ้นต่อธนาคารกลางของญี่ปุ่นในการคงอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำและลดค่าเงินเยนลงเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการใช้จ่ายจะช่วยฉุดขึ้นให้เกิดผลกระทบเชิงบวก
โดยทางรัฐบาลพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน อ้างอิงจากข้อมูลของแหล่งข่าวในพรรคก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ นายกฯ อาเบะกล่าวในการแถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP )
เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ว่า “รัฐบาลกำลังจะลงทุนอย่างกล้าหาญเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ”
นายกฯ อาเบะกล่าวว่า เขาต้องการที่จะส่งเสริมการส่งออกภาคเกษตรกรรมในพื้นที่ห่างไกลให้แข็งแกร่งและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟและท่าเรือ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเรือสำราญจากต่างประเทศ
เขากล่าวว่า “รัฐบาลสัญญาผ่านการรณรงค์ในการเลือกตั้งว่า เราจะขายสินค้าทางการเกษตรและส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาคให้เป็นที่รู้จักและภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้เขายังได้กล่าวถึงคำมั่นสัญญาในการปรับปรุงสถานรับเลี้ยงเด็กและผู้สูงอายุ การจัดหาทุนให้กับนักเรียนที่ต้องดิ้นรนกับหนี้สินที่เกิดจากการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
โดยนายกฯ อาเบะกล่าวว่า เขาต้องการใช้ความได้เปรียบจากนโยบายอัตราดอกเบี้ย 0% และ ออกพันธบัตรเพื่อความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน
การเน้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในมาตรการนี้คือการลงทุนในระยะยาว อ้างอิงจากความเห็นของฮิโรชิ มิยาซากิ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสที่บริษัทมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มอร์แกน สแตนลีย์เซคิวริตีส์
นายมิยาซากิกล่าวว่า “แต่ความสำเร็จของการท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการผ่อนคลายมาตรการการให้วีซ่าและเงินเยนที่อ่อนค่าลง แต่ปัจจุบันเงินเยนแข็งค่าขึ้น ธนาคารกลางต้องมีมาตรการรับมือในเรื่องนี้”