‘ทรัมป์’ คะแนนนิยมวูบจากโควิด-19
นิวยอร์ก (รอยเตอร์) – จากโพลล์ของรอยเตอร์ มีชาวอเมริกันมากขึ้นที่วิจารณ์การทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด -19 พุ่งสูง ทำให้ตอนนี้คะแนนความนิยมในตัวเขาตามหลังโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตอยู่ 8%
โดยที่มีการจัดทำขึ้นในวันที่ 11 -12 พ.ค. ชี้ว่า 41% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่ยอมรับในการทำงานของทรัมป์ ลดลงมา 4% จากผลโพลที่จัดทำในช่วงกลางเดือนเม.ย. โดยคะแนนของผู้ที่ไม่ยอมรับในการทำงานของทรัมป์เพิ่มขึ้น 5% มาอยู่ที่ 56%
โพลยังชี้ว่า 46% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งระบุว่า จะเลือกโจ ไบเดนในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีวันที่ 3 พ.ย. นี้ ขณะที่ 38% จะโหวตให้ทรัมป์ เทียบกับคะแนนความนิยมที่ไบเดนนำอยู่ 2 คะแนนจากโพลของรอยเตอร์ในสัปดาห์ก่อน
ชาวอเมริกันมีท่าทีไม่พอใจทรัมป์มากขึ้นจากวิธีที่ทรัมป์จัดการวิกฤตสาธารณสุข อ้างอิงจากโพล ผู้ที่ไม่ยอมรับในการทำงานของทรัมป์ในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด -19 มีมากกว่าผู้ที่ยอมรับในการทำงานของทรัมป์ถึง 13% นับเป็นคะแนนการไม่ยอมรับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีโพลในช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
ในช่วงแรก ทรัมป์ประเมินภัยคุกคามจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่ำเกินไป ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 80,000 รายแล้วในสหรัฐฯ ตอนนี้ กลายเป็นประเทศที่มีทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก บางครั้ง เขาก็มีความคิดขัดแย้งกับผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในรัฐบาลของเขา ขณะที่พยายามส่งเสริมว่ามีการรักษาที่มีศักยภาพ และกล่าวหาบรรดาผู้ว่าการรัฐจากพรรคเดโมแครตว่ามีเจตนาเปิดรัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อทำลายโอกาสในการเลือกตั้งของเขา
ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนนี้ยังกล่าวปกป้องคณะทำงานที่รับมือกับวิกฤตโควิด-19 ของเขา และกล่าวหาจีนซ้ำๆว่าผิดพลาดที่เตือนให้โลกตระหนักถึงความรุนแรงของไวรัสช้าเกินไป และไม่สามารถสกัดการระบาดได้ ทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงกับเศรษฐกิจทั่วโลก
ชาวอเมริกันมองว่าทรัมป์เป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในแง่การสร้างงาน ขณะที่ไบเดนดีกว่าในประเด็นการดูแลสุขภาพ
โพลชี้ให้เห็นว่า ประชาชนมีความเห็นแตกต่างกันว่าผู้สมัครคนใดสามารถรับมือกับไวรัสโคโรนาได้ดีกว่ากัน
โพลรอยเตอร์ที่มีการจัดทำทางออนไลน์ในสหรัฐฯ เป็นภาษาอังกฤษ มีการรวบรวมคำตอบจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,112 ราย โดยเป็นผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง 973 ราย ความน่าเชื่อถือของโพลนี้ ซึ่งเป็นมาตรวัดความแม่นยำ มีความคลาดเคลื่อนบวกลบได้ 4%.