สหรัฐฯ ตกงานพุ่ง หลายรัฐพร้อมเปิดทำงาน
วอชิงตัน (รอยเตอร์) – เมื่อวันที่ 8 พ.ค. รัฐบาลสหรัฐฯระบุว่า โรคระบาดโควิด -19 ทำให้ตัวเลขคนว่างงานในสหรัฐฯพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ขณะที่รัฐมิชิแกนและแคลิฟอร์เนียเตรียมพร้อมให้ประชาชนกลับไปทำงานอีกครั้ง เป็นการยุติมาตรการล็อกดาวน์นานหลายสัปดาห์
ตัวเลขของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนเม.ย.เน้นย้ำให้เห็นถึงภาวะเร่งด่วนของประเทศในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและชีวิตสังคม ที่ผ่านมา มีอย่างน้อย 40 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐที่ประกาศใช้มาตรการคุมเข้มให้ประชาชนอยู่บ้าน ออกไปข้างนอกได้เฉพาะธุระจำเป็นเท่านั้น
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. รัฐมิชิแกนและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีฐานการผลิตสำคัญได้กำหนดแผนในการอนุญาตให้บริษัทในหลายอุตสาหกรรมเปิดทำการได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
รายงานประจำเดือนที่ถูกจับตามองใกล้ชิดชี้ว่า อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึง 14.7% ในเดือนเม.ย. สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เมื่อ 90 กว่าปีก่อน
“หลายรัฐเริ่มผ่อนคลายคำสั่งให้ประชาชนอยู่บ้านในตอนนี้ ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นและธุรกิจให้การสนับสนุนแรงงานและบริษัทมากขึ้น แต่เห็นได้ชัดถึงแนวโน้มของชีวิตวิถีใหม่ ( new normal )” โทนี เบดิเคียน หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนทั่วโลกที่ Citizens Bank ระบุ
โดยเกรตเชน วิทเมอร์ ผู้ว่าการรัฐมิชิแกนระบุเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ว่า ผู้ผลิตในรัฐมิชิแกนจะเริ่มเปิดทำการได้ในวันที่ 11 พ.ค. ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอเมริกาเหนือจะมีพนักงานหลายพันคนกลับไปทำงานได้ในเดือนนี้ โดยรัฐมิชิแกนเป็นที่ตั้งของเมืองดีทรอยต์ ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ในแคลิฟอร์เนีย ผู้ว่าการรัฐแกวิน นิวซัมจากพรรคเดโมแครตเช่นกันเผยระเบียบการอนุญาตให้ทำงานในรัฐของเขา ที่ครอบคลุมทั้งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอ ไปจนถึงอากาศยานและโรงงานเคมี โดยให้เปิดดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.
ภายใต้คำสั่งนี้ ธุรกิจค้าปลีก ที่รวมถึงด้านบริการและคลังสินค้าและโลจิสติกส์สามารถกลับไปทำงานได้ แต่บริษัทต้องมั่นใจในการควบคุมรักษาระยะห่างทางสังคมของพนักงานและมีการตรวจคัดกรองไวรัสกับพนักงาน
ผู้ว่าการนิวซัม ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกที่ประกาศระงับกิจกรรมพาณิชย์ส่วนใหญ่ในรัฐของเขาระบุว่า จะมีกระบวนการในการอนุญาตให้เปิดทำการได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช่สินค้าจำเป็นยังคงปิดให้บริการในรัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นสองรัฐที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากไวรัส
ผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขเตือนว่าการเปิดเมืองก่อนเวลาอันสมควรมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อรอบใหม่ โดยยังแสดงความกังวลถึงนโยบายที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ และเน้นย้ำถึงมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ทอม บอสเสิร์ต อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิประจำทำเนียบขาวของประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า เขากังวลอย่างมากถึงแนวโน้มของผู้ติดเชื้อรายใหม่นอกรัฐนิวยอร์ก
“ สิ่งที่เราจับตามองในตอนนี้คือธงแดงในการเปิดเมือง และโชคไม่ดีที่เรายังเห็นธงแดงเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 2-4% ในพื้นที่ทั่วประเทศ นอกเหนือจากนิวยอร์ก”
เขาเสริมว่า หากควบคุมไม่ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงใน 72 วัน
ประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ ประเมินภัยคุกคามจากโรคระบาดต่ำเกินไป และไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนว่าจะมีการล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจนานเท่าไร และภายใต้สถานการณ์แบบไหนที่ควรเปิดดำเนินการธุรกิจได้อีกครั้ง
แต่ทรัมป์ ซึ่งมุ่งหวังถึงผลการเลือกตั้งในเดือนพ.ย. เคยระบุว่า เขาต้องการให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนได้อีกครั้ง
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อช่อง Fox ทรัมป์ระบุว่า งานที่หายไปในช่วงหลายสัปดาห์นี้จะกลับมา “ งานพวกนั้นจะกลับมา และจะกลับมาอย่างเร็วเลย ”
โดยเขายังให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเริ่มสวมหน้ากากอนามัยแล้ว หนึ่งวันหลังจากทำเนียบขาวรายงานว่า ผู้ช่วยในการเลือกตั้งของเขาตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ทำเนียบขาวแถลงว่า ทรัมป์และรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ตรวจไม่พบว่าติดเชื้อไวรัสและมีสุขภาพดีหลังจากสตาฟทำงานคนหนึ่ง ( เจ้าหน้าที่ทหารที่ทำงานเป็นผู้ช่วยด้านเลือกตั้งในทำเนียบขาว) ติดเชื้อไวรัส โดยทำเนียบขาวระบุว่า จะมีการตรวจคัดกรองผู้นำทั้งสองคนทุกวัน