อเมริกันประท้วงอยากเปิดประเทศ
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. เกิดการประท้วงในหลายรัฐของสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกคำสั่งให้ประชาชนอยู่บ้าน ขณะที่บรรดาผู้ว่าการรัฐยังคงมีความขัดแย้งกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่อ้างว่ามีการตรวจทดสอบไวรัสโควิด -19 อย่างเพียงพอและควรเปิดประเทศโดยเร็วที่สุด
มีประชาชนประมาณ 2,500 คนมาประท้วงหน้าศาลากลางรัฐวอชิงตันเพื่อประท้วงคำสั่งให้ประชาชนอยู่บ้านของผู้ว่าการรัฐ เจย์ อินสลี ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งที่ห้ามไม่ให้มีการรวมตัวกันเกินกว่า 50 คนหรือมากกว่า
แม้จะมีผู้ประท้วงบางคนที่สวมผ้าปิดหน้า หรือหน้ากากอนามัยตามคำแนะนำของสาธารณสุข แต่ผู้ประท้วงจำนวนมากไม่สวมหน้ากากเลย
“ การปิดธุรกิจ ด้วยการเลือกผู้ชนะ และผู้แพ้ ว่าธุรกิจใดสำคัญและไม่สำคัญ ถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญของรัฐและรัฐธรรมนูญของประเทศ ” ไทเลอร์ มิลเลอร์ วัย 39 ปี วิศวกรจากเบรเมอร์ตัน วอชิงตันกล่าวกับสื่อรอยเตอร์
ในเดนเวอร์ ผู้ประท้วงหลายร้อยคนมารวมตัวกันหน้าศาลากลางรัฐเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกการปิดรัฐโคโลราโด โดยผู้ประท้วงขับรถไปตามถนน ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์สวมหน้ากากยืนขวางอยู่กลางสี่แยกเพื่อเตือนสติผู้ประท้วงว่าสถานการณ์การระบาดยังไม่ดีขึ้น
มาตรการให้ประชาชนอยู่บ้าน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีความสำคัญในการชะลอการระบาดของไวรัส ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมีชาวอเมริกันกว่า 22 ล้านรายที่ยื่นขอสวัสดิการคนว่างงานในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยการประท้วงเรียกร้องให้ยุติมาตรการล็อกดาวน์ผุดขึ้นในหลายพื้นที่ในรัฐเท็ซัส วิสคอนซิน และศาลากลางรัฐโอไฮโอ มินเนโซตา มิชิแกน และเวอร์จิเนีย
“คนเหล่านี้รักประเทศของเรา” ทรัมป์ ซึ่งพยายามขับเคลื่อนให้มีการเปิดประเทศโดยเร็วเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ของเขาในเดือนพ.ย.นี้ ระบุในการแถลงข่าวในกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา “ พวกเขาอยากกลับไปทำงาน”
ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาด จำนวนผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลดลงจาก 18,000 รายลงมาอยู่ที่ 16,000 ราย และจำนวนผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากเครื่องช่วยหายใจก็ลดลงด้วย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 507 ราย ลดลงจากที่เคยสูงกว่า 700 รายต่อวัน
“ หากข้อมูลและแนวโน้มเป็นเช่นนี้ เราผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว และจากจุดนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงขาลง ” แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กระบุในการแถลงข่าวประจำวัน ขณะที่ขอให้พลเมืองในรัฐฯยังคงเว้นระยะห่างทางสังคม
จนถึงตอนนี้ สหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกคือมากกว่า 750,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 40,500 ราย จากการประเมินของสื่อรอยเตอร์
ผู้ว่าคูโอโม และผู้ว่าการรัฐอื่นๆเรียกร้องให้มีการตรวจทดสอบโควิด-19 มากขึ้นเพื่อให้ทราบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ รวมถึงการตรวจภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในการเตรียมพร้อมเปิดรัฐ
แลร์รี โฮแกน ผู้ว่าการรัฐแมรีแลนด์จากพรรครีพับลิกันระบุว่า คำกล่าวอ้างของทรัมป์และรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ที่ระบุว่ามีการตรวจทดสอบไวรัสไปมากมายนั้น “ผิดทั้งหมด” ขณะที่ราล์ฟ นอร์แธม ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียจากพรรคเดโมแครตกล่าวให้สัมภาษณ์สื่อว่า ความคิดที่ว่าทางรัฐมีการตรวจทดสอบเพียงพอเป็นเรื่อง “หลงผิด”
พื้นที่รัฐแมรีแลนด์ เวอร์จิเนียและวอชิงตันดีซี ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยรัฐนิวเจอร์ซีย์รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบ 3,900 รายในวันที่ 19 เม.ย. เมืองบอสตันและเมืองชิคาโก้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขณะที่หลายรัฐ ทั้งโอไฮโอ เท็กซัสและฟลอริดา ระบุว่า ตั้งเป้าจะเปิดรัฐภายในวันที่ 1 พ.ค. หรือเร็วกว่านั้น
ผู้ว่าการรัฐวอชิงตันกล่าวโจมตีทรัมป์อีกครั้งที่เรียกร้องให้เขาเปิดรัฐ โดยระบุว่า ประธานาธิบดีสนับสนุนให้ประชาชนละเมิดกฎหมายของรัฐในการรักษาระยะห่างทางสังคม
“ คำสั่งเหล่านี้เป็นกฎหมายของหลายรัฐ” เขาระบุ “ การที่ชาวอเมริกันมีประธานาธิบดีสนับสนุนให้ละเมิดกฎหมาย เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชั่วชีวิตของผมในอเมริกา”