สวีเดนสวนกระแสโลก ไม่ล็อกดาวน์
(CNN) – ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ มีคำสั่งห้ามประชาชนเดินทางอย่างเข้มงวด และมีบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน
แต่ไม่ใช่ในสวีเดน ที่ซึ่งร้านอาหารและบาร์ยังคงเปิดให้บริการ รวมทั้งสนามเด็กเล่นและโรงเรียนที่เปิดอยู่เช่นกัน และรัฐบาลพึ่งพาเพียงความสมัครใจของประชาชนในการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19
มีผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ และหนึ่งในนั้นคือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ โดยเขาระบุว่า “สวีเดนทำอย่างนั้น ภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) พวกเขาเรียกอย่างนั้น แต่สวีเดนกำลังลำบากมากๆตอนนี้ ”
แต่รัฐบาลสวีเดนมั่นใจว่านโยบายนี้จะได้ผลดี โดย แอนน์ ลินด์ รมว.ต่างประเทศแถลงทางโทรทัศน์เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์คิดผิดที่ชี้ว่าสวีเดนกำลังทำตามทฤษฎีภูมิคุ้มกันหมู่ ที่จะปล่อยให้ประชากรของประเทศติดเชื้อไวรัสมากจนถึงจำนวนหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต้านไวรัส และหลังจากนั้นจำนวนคนติดเชื้อก็จะค่อยๆลดลง
โดยเธอระบุว่า ยุทธศาสตร์ของสวีเดนคือ “ ไม่มีล็อกดาวน์ และเราพึ่งพาความรับผิดชอบต่อตัวเองของประชาชนอย่างมาก ”
อันเดรส เทกเนล นักระบาดวิทยาของสวีเดนก็แสดงความเห็นตอบโต้คำวิจารณ์ของทรัมป์ที่ว่าสวีเดนกำลังแย่ “ ผมคิดว่าสวีเดนมาถูกทางแล้ว นี่กำลังสร้างผลลัพธ์ที่ดีในแบบเดียวกับที่เป็นมาเสมอ จนถึงตอนนี้ ระบบสาธารณสุขของสวีเดนกำลังรับมือกับโรคระบาดด้วยวิธีการที่น่าทึ่ง”
จนถึงวันที่ 9 เม.ย. สวีเดนมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งหมด 9,141 ราย และมีผู้เสียชีวิต 793 ราย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส
นโยบายของสวีเดนคือการให้คำแนะนำ ไม่ใช่การบังคับ สองวันหลังจากสเปนล็อกดาวน์ประเทศในวันที่ 14 มี.ค. ทางการสวีเดนขอให้ประชาชนล้างมือและอยู่บ้านหากรู้สึกว่าป่วย ต่อมาในวันที่ 24 มี.ค. มีการแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มในร้านอาหาร แต่ร้านอาหารส่วนใหญ่ยังคงเปิดให้บริการอยู่
โรงเรียนประถมและมัธยมทั่วประเทศยังคงเปิดทำการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง แต่ห้ามมีการรวมกลุ่มกันเกิน 50 คน
เทกเนลกล่าวปกป้องการตัดสินใจให้โรงเรียนยังคงเปิดอยู่ “ เราทราบว่าการปิดโรงเรียนมีผลกระทบมากต่อระบบการดูแลสุขภาพ เพราะคนจำนวนมากไม่สามารถออกไปทำงานได้อีก เด็กจำนวนมากรู้สึกแย่ที่ไปโรงเรียนไม่ได้”
สวีเดนมุ่งเน้นการปกป้องผู้สูงอายุ โดยแจ้งให้ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปีอยู่บ้านและจำกัดการติดต่อทางสังคมให้มากที่สุด เจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่งให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล แต่หลายคนกังวลว่า กว่าจะมีคำสั่งห้ามไปเยือนบ้านผู้สูงวัยก็วันที่ 1 เม.ย.แล้ว และตอนนี้ ไวรัสก็แพร่กระจายไปตามบ้านเหล่านี้แล้ว ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
จากผลการศึกษาของอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอนประเมินว่า มีประชากรในสวีเดน 3.1% ติดเชื้อโควิด-19 (ถึงวันที่ 28 มี.ค.) เปรียบเทียบกับนอร์เวย์อยู่ที่ 0.41% และ 2.5% ในสหราชอาณาจักร
สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิต จนถึงวันที่ 8 เม.ย. มีอัตราการเสียชีวิต 67 คนต่อประชากรสวีเดน 1 ล้านคน จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขสวีเดน ขณะที่นอร์เวย์มีผู้เสียชีวิต 19 คนต่อพลเมือง 1 ล้านคน ฟินแลนด์อยู่ที่ 7 คนต่อ 1 ล้านคน จนถึงวันที่ 8 เม.ย. อัตราการเสียชีวิตในสวีเดนเพิ่มขึ้น 16%
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยกว่า 2,000 คนลงชื่อในคำร้องให้รัฐบาลมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น โดยเซซิเลีย โซเดอร์เบิร์ก นอเคล ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านภูมิคุ้มกันไวรัสให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ เราไม่ชนะในการสู้รบนี้ มันน่ากลัวมาก แถวที่ดิฉันอยู่ ผู้คนทำงานจากที่บ้าน แต่พวกเขาก็ยังไปร้านอาหาร คาเฟ่ และ มีทั้งคนสูงวัยและคนหนุ่มสาวจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย นี่ไม่ใช่การรักษาระยะห่างทางสังคมเลย”
โดยเธอระบุว่าสถานการณ์ในกรุงสต็อกโฮล์ม ซึ่งมีผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังย่ำแย่ แต่เสริมว่ายังไม่สายเกินไปสำหรับพื้นที่อื่นของประเทศที่จะมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น
เดือนพ.ค.จะเป็นตัวชี้วัดว่าระบบของสวีเดนมาถูกทางหรือไม่