ติดเชื้อโควิด – 19 ทั่วโลกทะลุ 1 ล้านคน
วอชิงตัน ( รอยเตอร์,AFP) – เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อโควิด -19 ทั่วโลกพุ่งสูงทะลุ 1 ล้านรายแล้ว โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 51,000 ราย เนื่องจากมีการระบาดอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสเปนและอิตาลี จากรายงานของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน จากการประเมินของสื่อ AFP มีมากกว่า 3,900 ล้านคนทั่วโลก หรือประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งโลก อยู่ภายใต้มาตรการหยุดอยู่บ้านเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดร้ายแรงนี้
ไวรัสคร่าชีวิตผู้ป่วยไปมากกว่า 51,000 รายทั่วโลก โดยประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลกคืออิตาลี รองลงมาคือสเปนและสหรัฐฯ จากรายงานของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินสในสหรัฐฯ
จากข้อมูลระบุว่า มีผู้ที่รักษาหายดีแล้วกว่า 200,000 ราย โดยมากกว่า 75,000 รายอยู่ในจีน ซึ่งเป็นประเทศที่โรคนี้อุบัติขึ้นครั้งแรกช่วงปลายปีที่แล้ว
โดยข้อมูลจากสื่อรอยเตอร์ชี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสองเท่าจนเกิน 1 ล้านรายภายในช่วง 8 วันที่ผ่านมา
เนื่องจากเป็นการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก รัฐบาลของหลายประเทศปิดโรงงานและธุรกิจ สายการบินระงับการบิน และสั่งการให้ประชาชนหลายร้อยล้านคนอยู่บ้านเพื่อชะลอการระบาด
มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งรวมถึงการคุมขัง เคอร์ฟิวและกักตัว ถูกบังคับใช้ใน 90 กว่าประเทศและเขตปกครอง
ในประเทศไทย มีมาตรการเคอร์ฟิวในวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีคนที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เกินครึ่งของจำนวนประชากร 7,800 ล้านคนทั่วโลก
ในยุโรป ( รวมทั้งสหราชอาณาจักร) ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนก็อยู่ภายใต้มาตรการนี้ ขณะที่ในเอเชีย มีมาตรการคุมเข้มนี้ในอินเดีย เนปาลและศรีลังกา
ในพื้นที่ส่วนใหญ่ ประชาชนยังสามารถออกจากบ้านไปซื้อของสำคัญได้ เช่น อาหาร หรือยา หรือไปทำงาน แม้จะมีความพยายามให้ทุกคนทำงานจากที่บ้านให้มากที่สุดหากทำได้
มีอย่างน้อย 10 ประเทศที่มีประชารวมกันประมาณ 600 ล้านคน ที่รัฐบาลขอให้ประชาชนอยู่บ้าน แต่ไม่มีมาตรการบังคับ เช่น โทษปรับ หรือการจับกุมตัว ในกรณีนี้คือในเยอรมนี แคนาดา เม็กซิโกและอิหร่าน
มีอย่างน้อย 26 ประเทศและดินแดนที่มีมาตรการเคอร์ฟิว เพื่อบังคับให้พลเมือง 500 ล้านคนอยู่บ้านไม่ออกนอกเคหสถานในช่วงเวลากลางคืน โดยมาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในหลายประเทศในแอฟริกา ทั้งเคนยา อียิปต์ และมาลี และในลาตินอเมริกาคือชิลี ปานามา และเปอร์โตริโก
และมีอย่างน้อย 7 ประเทศ รัฐบาลมุ่งเน้นในการควบคุมไม่ให้พลเมืองเข้าและออกกรุงริยาดห์ เมดินา และเมกกะของซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ประเทศฟินแลนด์ใช้มาตรการเดียวกันสำหรับกรุงเฮลซิงกิ มาตรการเหล่านี้ครอบคลุมประชาชนกว่า 30 ล้านคน.