สหรัฐฯประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ
วอชิงตัน/เจนีวา (รอยเตอร์) – เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติเนื่องจากมีการระบาดของไวรัสโควิด – 19 เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลสามารถต่อสู้กับการระบาดที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อกว่า 138,000 รายทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตเกิน 5,000 รายได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไวรัสส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของทุกคนทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเปลี่ยนศูนย์กลางโรคระบาดโควิด – 19 จากจีนมาเป็นยุโรป และกำชับว่าอย่าปล่อยให้เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนไฟไหม้ฟาง มีการเลื่อนปฏิทินการแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญทั่วโลก และหลายประเทศมีประกาศห้ามเดินทาง ทำให้ผู้คนไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบเหมือนที่ผ่านมา
“ เพื่อเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลกลางในการรับมือในวันนี้ ผมขอประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติอย่างเป็นทางการ เป็นคำที่มีผลยิ่งใหญ่มาก” ทรัมป์ประกาศที่ทำเนียบขาว โดยเสริมว่า สถานการณ์ในสหรัฐฯอาจเลวร้ายมากขึ้น และ “ อีก 8 สัปดาห์ข้างหน้ามีความสำคัญมาก”
โดยคำประกาศของทรัมป์ เป็นการอนุมัติงบประมาณให้รัฐบาลกลางจำนวน 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 1. 59 ล้านล้านบาท ) เพื่อช่วยเหลือในการทำงานของทุกรัฐและท้องถิ่น ที่ผ่านมา ทรัมป์ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญหลายรายว่า ทำงานรับมือวิกฤตโควิด – 19 ล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ และประเมินต่ำเกินไป
มาตรการล่าสุดมีขึ้นหลังจากทรัมป์ประกาศห้ามเดินทางจากยุโรปเข้าสหรัฐฯเมื่อสองวันก่อน โดยคำสั่งแบนมีการยกเว้นให้กับสหราชอาณาจักร ทรัมป์ระบุเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพราะการติดเชื้อที่นั่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทรัมป์ระบุว่า มีแนวโน้มที่เขาจะเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด – 19 ในเร็วๆนี้ หลังเขาทราบข่าวว่า โฆษกของประธานาธิบดีบราซิลติดเชื้อ และเพิ่งถ่ายภาพร่วมกับเขาที่รีสอร์ทเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นการเปลี่ยนจุดยืนของเขา แต่ทรัมป์ ( ซึ่งตอนนี้มีอายุ 73 ปีแล้ว) ระบุว่า ไม่มีแผนจะกักตัวเอง โดยย้ำว่าเขาไม่มีอาการบ่งชี้ใดๆ
3 ดัชนีหลักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งร่วงลงกว่า 9% ในวันที่ 13 มี.ค.แม้จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ดัชนียังคงต่ำกว่าช่วงกลางเดือนก.พ.ประมาณ 20%
ดร.เทดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ยุโรปมีรายงานผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากขึ้นกว่าผู้ติดเชื้อที่อื่นในโลก สวนทางกับจีน ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการระบาด ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง โดยทาง WHO เรียกจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากถึง 5,000 รายทั่วโลกว่า “เหตุการณ์วิปโยค”
ขณะที่ไมค์ ไรอัน หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญฝ่ายฉุกเฉินของ WHO ระบุว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นวิธีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่า จะช่วยชะลอการแพร่เชื้อไวรัส แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดการแพร่เชื้อได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ภริยาผู้นำประเทศ , รัฐมนตรี , ส.ส. รวมถึงดาราซูเปอร์สตาร์ และนักกีฬาชื่อดังระดับโลก ล้วนอยู่ในรายชื่อผู้ติดเชื้อโควิด – 19 ทั่วโลก