WHO ประกาศโควิด -19 เป็นโรคระบาดทั่วโลก
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โควิด -19 เป็นโรคระบาดทั่วโลก จากรายงานการแพร่ระบาดใน 114 ประเทศและเขตปกครอง และมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกิน 120,000 ราย
“ ในอีกหลายวันและหลายสัปดาห์หน้า เราคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตและประเทศที่มีการระบาดของโลกเพิ่มขึ้น” ดร.เทดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผอ.ใหญ่ WHO ระบุในการแถลงข่าวที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
“ WHO มีการประเมินการระบาดตลอดเวลา และเรากังวลอย่างมากทั้งระดับการเตือนภัยของการแพร่ระบาดและความรุนแรง และการไม่มีระบบการเตือนภัย” เขากล่าว
“ ดังนั้น เราจึงกำหนดให้โควิด -19 เป็นโรคระบาด” เขาระบุ โดยอ้างถึงโรคที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เริ่มแพร่กระจายทั่วโลกในเดือนม.ค.
WHO เตือนให้ทุกประเทศยกระดับการควบคุมเพื่อป้องกันไม่ให้โควิด-19 เป็นภาระที่เกินกำลังของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข
“ นี่ไม่ใช่เวลาที่หลายประเทศจะมุ่งบรรเทาโรคเท่านั้น แต่หากคุณไม่สามารถสกัดไวรัสได้ มันอาจสั่นคลอนระบบสาธารณสุขของคุณได้ ” ดร.ไมเคิล ไรอัน ผอ.ฝ่ายฉุกเฉินของ WHO ระบุในการแถลงข่าว
ในวอชิงตัน จากความผิดพลาดของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯที่ประเมินโรคระบาดต่ำเกินไป ทำให้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ติดอยู่ในการต่อสู้กับบรรดาส.ส. จากข้อเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเขา ที่จะรวมการลดภาษีเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ดิ่งวูบจากการระบาด
จากการประเมินล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกิน 1,300 รายไปแล้ว ขณะที่ในอิตาลี อัตราผู้เสียชีวิตมากกว่า 6%
Marc Lipsitch ผอ.Harvard T.H. Chan School of Public Health’s Centre for Communicable Disease Dynamics ระบุว่า 20% – 60% ของประชากรผู้ใหญ่ของโลกอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และทำให้มีผู้เสียชีวิต 1%
ขณะเดียวกัน ประเทศอื่นๆ ต่างก็พยายามยกระดับมาตรการรับมือกับไวรัส ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 1.23 ล้านล้านบาท )
ไม่นานหลังจากธนาคารกลางของอังกฤษประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลแห่งเยอรมนีให้คำมั่นว่า “จะทำทุกอย่างที่จำเป็น” เพื่อควบคุมโควิด – 19 ให้ได้ และประธานธนาคารกลางยุโรปเตือนถึงภาวะช็อกอย่างชัดเจนทางเศรษฐกิจ
ไม่นานหลังจากการแถลงข่าวของ WHO ทางการอินเดียประกาศยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวทั้งหมด เป็นมาตรการสำคัญที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. – 15 เม.ย.นี้