ปักกิ่งสั่งปิดโรงเรียน
มลพิษในอากาศของปักกิ่งเข้าสู่ระดับสีแดง ซึ่งเป็นระดับอันตรายสูงสุด จนต้องสั่งปิดโรงเรียน และกวดขันการปล่อยควันพิษจากโรงงาน และการจราจร
สัญญาณเตือนภัยสีแดง เป็นระดับการเตือนภัยที่บ่งบอกถึงอันตรายสูงสุดในระบบ 4 เทียร์ ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2556 โดยทางการปักกิ่งได้ประกาศเตือนภัยระดับสีแดงนี้ในวันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า สถานการณ์หมอกควันพิษขั้นร้ายแรงนี้จะคงอยู่ติดต่อกันไปอีก 3 วัน
มีรายงานว่า มีการอ่านค่า PM 2.5 หรือค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศได้สูงถึง 300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เมื่อเปรียบเทียบกับค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลกที่อยู่ที่ 25 ไมโครกรัมเท่านั้น
ไม่มีการคาดการณ์มาก่อนว่าสถานการณ์หมอกควันจะเข้าขั้นวิกฤติ จนกระทั่งเกิดแนวปะทะอากาศเย็นในวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วในเดือนนี้ที่กรุงปักกิ่ง ต้องประสบปัญหามลพิษเป็นเวลายาวนานจากหมอกควันพิษที่หนาแน่นในอากาศ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดหมอกควันพิษคือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงการปล่อยควันเสียจากรถยนต์ และฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง และโรงงานอื่นๆ
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ตามประกาศจากสำนักงานใหญ่ของการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินของกรุงปักกิ่ง ได้มีการสั่งให้งดการเรียนการสอนในโรงเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษา
ห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างนอกสถานที่ และโรงงานบางแห่งอาจต้องลด หรือหยุดการผลิต
ยังมีรายงานข่าวอีกว่า จะมีการจัดระเบียบการขับขี่รถในจีน โดยให้กำหนดวันเดินรถสำหรับรถยนต์ โดยใช้เลขทะเบียนรถยนต์เลขคี่ และเลขคู่เป็นเกณฑ์ โดยกฎนี้จะมีผลบังคับใช้กับรถยนต์ของรัฐบาล ถึง 30%
มีการใช้โปรแกรมตอบสนองภาวะฉุกเฉินจากมลพิษในอากาศในกรุงปักกิ่งเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2556 โดยใช้เป็นระบบเตือนภัย 4 เทียร์ คือเริ่มจากระดับสีฟ้า ไปถึงสีเหลือง สีส้ม และสุดท้ายคือสีแดง ซึ่งเป็นระดับอันตรายสูงสุด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่กรุงปักกิ่งประสบกับวิกฤติหมอกควันพิษ นายสี่ จิ้นผิงประธานาธิบดีของจีนก็อยู่ในระหว่างการไปประชุมที่ฝรั่งเศส โดยเขาได้เน้นย้ำถึงคำมั่นสัญญาของจีนที่จะต่อสู้กับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ประธานาธิบดีสี่ จิ้นผิง ได้กล่าวกับผู้นำประเทศอื่นๆ ในการประชุม COP21 ซัมมิท ซึ่งเป็นการประชุมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงของโลกในกรุงปารีสว่า ประเทศจีนจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อจีดีพีลงให้ได้ 60-65% จากระดับที่เคยปล่อยในปี 2548 และเพิ่มปริมาณการบริโภคพลังงานสะอาดให้เป็นพลังงานสำคัญอันดับแรก